Tuesday, July 8, 2014

หมอๆ หนูโดนของ !!!




วันก่อนผมเพิ่งจะผ่าตัดเลาะซีสต์ที่รังไข่โดยวิธีส่องกล้องให้กับคนไข้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งไป ภายหลังผ่าตัดผมก็โชว์รูปถ่ายถุงน้ำรังไข่ที่ผ่าตัดเลาะออกมาให้คนไข้และญาติๆดู อธิบายถึงสิ่งที่พบในห้องผ่าตัดไปว่าซีสต์ของคนไข้นั้นขนาดราวๆ 8 เซนติเมตร มีของเหลวลักษณะคล้ายน้ำมัน มีก้อนไขมัน มีเศษผม หนังศีรษะ และฟัน อยู่ภายใน คนไข้และญาติมองหน้ากัน แสดงสีหน้าประหลาดใจ แล้วก็บรรลัยครับทีนี้ เถียงกันต่างๆนา เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวลั่นห้อง แล้วคนไข้ก็ถามออกมาว่า “ หมอๆ อย่างนี้แสดงว่าหนูโดนคุณไสย์ใช่มั้ย ??? ”

Thursday, July 3, 2014

Q&A : หลังผ่าตัดคลอด ไม่ควรรับประทานไข่ขาวเพราะจะทำให้แผลเป็นนูน จริงหรือไม่คะ ?



คุณแม่หลายท่านที่จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดเพราะไม่สามารถคลอดบุตรด้วยวิธีการธรรมชาติได้ คงมีความกังวลใจกลัวว่าแผลผ่าตัดจะไม่สวย เป็นแผลเป็นนูน และมีความเชื่อว่าไม่ควรรับประทานไข่ขาวเพราะจะทำให้แผลเป็นนูน ดูไม่สวย จริงๆแล้วตรงกันข้ามเลยครับ ควรรับประทานเสียด้วยซ้ำเพราะไข่ขาวเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่หาง่ายและราคาไม่แพง สารอาหารประเภทโปรตีนมีความสำคัญในด้ายการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งก็รวมถึงแผลผ่าตัดด้วย ทำให้แผลหายไว และคุณแม่ฟื้นตัวได้เร็วอีกทั้งยังมีประโยชน์ด้านการนำไปใช้สร้างน้ำนมให้ลูกน้อยอีกด้วย ดังนั้นการห้ามรับประทานไข่ขาวถือว่าเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนะครับ เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลเป็นนั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น



  • ลักษณะของผิวหนัง ซึ่งมาจากพื้นฐานของผิวหนังของแต่ละคน ตามกรรมพันธุ์
  • จำนวนครั้งของการผ่าตัด กรณีที่ผ่านการผ่าตัดซ้ำหลายครั้ง จะมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นนูน สีคล้ำเข้ม ดูไม่สวยงามเกิดขึ้นได้บ่อยกว่า
  • แรงตึงบริเวณขอบแผลมากๆ แผลผ่าตัดที่มีทำให้การซ่อมแซมบาดแผลเกิดได้ไม่ดีนัก เช่น
    • แผลผ่าตัดใหญ่ๆ ที่ขอบแผล 2ข้าง มีระยะห่างกันมากๆ จะมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้บ่อยกว่าแผลผ่าตัดขนาดเล็ก
    • เทคนิคการเย็บของแพทย์ก็มีส่วนช่วยลดแรงตึงบริเวณขอบแผล ทำให้ลดโอกาสเกิดแผลเป็นได้ครับ
  • แผลผ่าตัดแยก มีผลให้เกิดการซ่อมแซมที่ไม่สมบูรณ์ เช่น ออกแรงขยับเขยื้อนบริเวณที่ผ่าตัดมากเกินไปในขณะที่แผลยังไม่หายดี
  • การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด มีผลกระตุ้นการเกิดรอยแผลเป็นตามมาได้
  • ไหมที่ใช้เย็บแผล หากเป็นไหมละลายที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้าน สามารถทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ ส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นได้มากขึ้นครับ
  • การดูแลผิวพรรณ การหมั่นดูแลแผลผ่าคลอดอย่างสม่ำเสมอ ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อน ๆ หรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาก็ช่วยทำให้แผลเป็นนุ่มและสีจางลงได้ครับ แต่อาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร

วิธีการดูแลแผลผ่าตัดคลอดเบื้องต้น



  • ควรลุกนั่ง ขยับตัว เดินรอบๆเตียง ให้เร็วที่สุดภายหลังจากผ่าตัดคลอด แต่ไม่ต้องหักโหม เพราะอาจทำให้แผลผ่าตัดแยกได้ หากวิงเวียนศรีษะ หรือปวดแผลมากก็ให้พักหรือรอให้รู้สึกดีก่อนค่อยเริ่มใหม่ ถ้าทำได้ตั้งแต่วันแรกๆภายหลังผ่าตัดจะดีมากครับ ช่วยให้ลำไส้กลับมาทำงานได้ตามปกติเร็วขึ้น ไม่อืดแน่นท้อง ไม่คลื่นไส้อาเจียน รับประทานและกลับบ้านได้เร็วขึ้น
  • หากไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย มีโอกาสที่จะเกิดพังผืดขึ้นกับอวัยวะต่างๆภายในช่องท้อง  เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากจากการที่ท่อนำไข่อุดตัน เสี่ยงต่อการผ่าตัดคลอดบุตรคนต่อไปทำได้ยาก หรือมีโอกาสที่จะท้องผูกเรื้อรังในอนาคต
  • ผ้ายืดรัดหน้าท้อง สามารถช่วยประคองหน้าท้องส่วนเกินหลังผ่าตัดคลอดไม่ให้ย้อยมากดทับแผลผ่าตัด อีกทั้งยังช่วยพยุงผนังหน้าท้องและกล้ามเนื้อส่วนหลังเวลาเดิน จึงช่วยลดความเจ็บปวดลงไปได้มากเลยทีเดียวครับ
  • แผลผ่าตัดคลอดที่ปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ ไม่จำเป็นต้องเปิดล้างแผลทุกวัน สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการฟอกสบู่หรือแกะ เกาบริเวณแผล เพราะอาจทำให้พลาสเตอร์ลอกหลุด ทำให้น้ำเข้าได้ และควรซับให้แห้งทันทีหลังอาบน้ำ ทิ้งไว้ราวๆ 7 วันจึงไปพบแพทย์เพื่อเปิดแผล และ/หรือตัดไหมครับ
  • หากแผลผ่าตัดบวม แดง กดเจ็บ มีเลือดซึม หรือมีไข้ ให้รีบพบแพทย์เนื่องจากอาจเกิดการติดเชื้อ หรือแพ้พลาสเตอร์ปิดแผลได้ครับ
  • พยายามดื่มน้ำเยอะๆ งดกลั้นปัสสาวะ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด โดยเฉพาะอาหารจำพวกโปรตีน โดยที่หาได้ง่ายๆคือ ไข่ขาวต้ม เพราะมีส่วนช่วยซ่อมแซมให้บาดแผลหายได้เร็วขึ้นครับ
  • ในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก ไม่ควรยกของหนัก ขยับตัวได้เท่าที่ไม่รู้สึกเจ็บ หากเจ็บหรือรู้สึกตึง ๆ แสดงว่า ยืดเหยียดแผลมากเกินไป แผลจะหายสนิทดี และสามารถออกกำลังกายได้ ราวๆ 3-6 เดือน ในบางรายอาจรู้สึกเสียวๆหรือมีอาการชาบริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งอาการจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
  • เมื่อแผลแห้งสนิท หากมีรอยแผลเป็น สามารถใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อน ๆ หรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาก็ช่วยทำให้แผลเป็นนุ่มและสีจางลงได้ครับ


นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Wednesday, June 25, 2014

Q&A : เลือดล้างหน้าเด็ก VS เลือดประจำเดือน




มีคำถามจากทางบ้าน ซึ่งเป็นคนไข้ที่ทำเด็กหลอดไปแล้วและเพิ่งผ่านการย้ายตัวอ่อนมาได้ 3-4 วัน ถามผมเข้ามาว่า “มีเลือดสีแดงจางๆออกจากช่องคลอดใช่เลือดล้างหน้าเด็กมั้ยคะ หรือจะเป็นเลือดประจำเดือนมาก่อนกำหนด แล้วอย่างนี้จะมีโอกาสท้องมั้ย” ขอออกตัวก่อนนะครับว่าตั้งแต่เรียนมาก็เพิ่งเคยได้ยินคำว่าเลือดล้างหน้าเด็ก ก็คราวนี้นี่แหละครับ เลยลองๆหาข้อมูลดูว่า เลือดล้างหน้าเด็กหมายถึงอะไร สุดท้ายก็ได้คำตอบครับว่าศัพท์ทางการแพทย์ที่ผมอยู่ใช้ประจำ ก็มีภาษาที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันด้วยเหมือนกัน ซึ่งเลือดล้างหน้าเด็ก และ เลือดประจำเดือนมีความแตกต่างกันคือ

Wednesday, June 18, 2014

“มีลูกได้ Vs ตั้งครรภ์ได้” ฟังดูคล้าย แต่ไม่เหมือนกัน




ผู้หญิงปกติ จะมีมดลูก 1 ใบ , รังไข่ 2 ข้าง , ท่อนำไข่ 2 ข้าง

ปากมดลูก เป็นส่วนหนึ่งของมดลูกที่อยู่ภายในช่องคลอด

โพรงมดลูก เป็นช่องว่างที่อยู่ใจกลางมดลูก มีทางเชื่อมต่อกับปากมดลูก และท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้าง เป็นตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ตามปกติในโพรงมดลูก

รังไข่และท่อนำไข่ บางครั้งถูกเรียกรวมว่า ปีกมดลูก



ความสำคัญของมดลูก และรังไข่ คุณรู้ดีพอหรือยัง???



ความสำคัญของมดลูก คือ


1. ทำให้ตั้งครรภ์ได้



  • แม้ว่าจะได้ผ่าตัดรังไข่ออกไปทั้ง 2ข้างแล้ว แต่ในกรณีที่ยังมีมดลูกอยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถมีลูกได้เองตามธรรมชาติ     คุณผู้หญิงก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยไข่บริจาคจากหญิงอื่น และต้องอาศัยกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วร่วมด้วย
  • ดังนั้น ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง หรือไม่ต้องการมีลูกแล้ว แม้ว่ามดลูกจะปกติแต่แพทย์อาจแนะนำให้ตัดมดลูกออกไปด้วยเลย  เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมดลูกไว้เพื่อตั้งครรภ์แล้วครับ


2. เป็นตัวแสดงออกให้รู้ว่าคุณผู้หญิงยังไม่เข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน เพราะยังมีเลือดประจำเดือนออกมาให้เห็นอย่างสม่ำเสมอจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่



ความสำคัญของรังไข่ คือ

1. ทำให้มีลูกได้ เพราะมีหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ หรือ ฟองไข่

  • ในกรณีที่ยังมีรังไข่เหลืออยู่อย่างน้อย 1 ข้าง แม้ว่าจะได้ผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว คุณผู้หญิงก็ยังสามารถที่จะมีลูกได้ เพียงแต่ว่าจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง เพราะไม่มีมดลูกให้ตัวอ่อนฝังตัว จึงจำเป็นต้องอาศัยหญิงอื่นตั้งครรภ์แทน(อุ้มบุญ) และต้องอาศัยกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วร่วมด้วย
  • หากปริมาณเนื้อรังไข่ภายหลังการผ่าตัดเหลือน้อยลง หรือบางรายเหลือรังไข่เพียงข้างเดียว คุณผู้หญิงก็มีโอกาสที่จะมีลูกยากมากขึ้น เพราะว่าเหลือเนื้อรังไข่ที่จะผลิตฟองไข่ได้น้อยลงนั่นเอง
  • ดังนั้นหากสามารถผ่าตัดเก็บเนื้อเยื่อรังไข่ไว้ได้มากที่สุด เช่น การผ่าตัดเลาะเฉพาะซีสต์ที่รังไข่ออก ย่อมเป็นผลดีกว่าการตัดออกไปหมดทั้งรังไข่แน่นอนครับ


2. ทำให้ไม่เป็นวัยทอง เพราะมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง


  • ในกรณีที่ยังมดลูก และยังเหลือรังไข่อยู่ภายหลังจากการผ่าตัด แม้ปริมาณรังไข่จะเหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์   รังไข่ก็ยังสามารถสร้างฮอร์โมนได้เพียงพอที่จะไม่ทำให้เป็นวัยทอง และทำให้มีประจำเดือนตามปกติจนกว่ารังไข่จะหยุดทำงาน ซึ่งก็ขึ้นกับปริมาณเนื้อเยื่อรังไข่ที่เหลือ ถ้าเหลือน้อยก็มีโอกาสเข้าสู่วัยทองได้เร็วกว่าผู้หญิงที่มีรังไข่ปกติสมบูรณ์ทั้ง 2 ข้างอีกด้วย
  • ผู้หญิงไทยที่มีรังไข่ปกติทั้ง 2ข้าง ส่วนใหญ่จะเข้าสู่วัยทอง เมื่อรังไข่หยุดการทำงาน ซึ่งมีอายุราวๆ 49-51 ปี
  • ในกรณีผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว แต่ยังเหลือรังไข่อยู่ ร่างกายก็ไม่ได้ขาดฮอร์โมนแต่อย่างใด แม้ว่าจะไม่มีประจำเดือนแสดงออกมาให้เห็นก็ตาม


ถึงตอนนี้ถ้าคุณผู้หญิงที่มีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ การมีความเข้าใจถึงหน้าที่ของอวัยวะทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นอย่างดี ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยในการพิจารณาทางเลือกการผ่าตัดรักษา รวมถึงทราบผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วยครับ




นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Sunday, June 15, 2014

ยังอยากมีลูก “เลี่ยงผ่าตัดรังไข่-มดลูกโดยไม่จำเป็น”



เนื่องด้วยเป็นหมอรักษาผู้มีบุตรยาก บ่อยครั้งที่ต้องรักษาคนไข้ที่มีลูกยากที่มีสาเหตุมาจากการผ่าตัดรังไข่-มดลูกโดยไม่จำเป็น เช่น มีถุงน้ำ(ซีสต์) ที่รังไข่ ซึ่งอาจจะเป็นถุงน้ำรังไข่ชนิดที่สามารถยุบหายไปได้เองก็ได้ หากตรวจติดตามต่อไปอีก 1-2 เดือน ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใดๆเลย หรือถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดจริงๆ แทนที่จะผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำที่รังไข่ออก แต่กลับถูกตัดรังไข่ทิ้งไปเลย จนต้องกลายเป็นคนมีลูกยาก เพราะเหลือรังไข่ที่จะผลิตไข่แค่ข้างเดียว น่าเศร้าแทนคนไข้มั้ยล่ะครับ


เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของทั้งแพทย์และคนไข้ถึงผลกระทบที่จะตามมาภายหลังจากการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม หรือไม่จำเป็น ทำให้บ่อยครั้งที่ผมมักจะเกิดอาการหวงแหนไข่และมดลูกของคนไข้เอามากๆ ถึงขั้นว่าไม่อยากจะแตะต้อง หรือผ่าตัดใดๆที่ทำให้ทั้งรังไข่และมดลูกได้รับบาดเจ็บ-เสียหายเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็เพราะว่าทั้ง 2 ส่วนนี้มีบทบาทสำคัญต่อการมีลูกอย่างมาก เพราะ...

ถ้าเนื้อรังไข่เหลือน้อยลงโอกาสที่จะมีลูกก็น้อยลงตามไปด้วย เพราะรังไข่เป็นอวัยวะที่มีหน้าทีผลิตเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงที่เรียกว่า“ฟองไข่” นอกจากนั้นแล้วรังไข่ยังมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ยังคงความเป็นสาวอีกด้วย ดังนั้นหากเนื้อรังไข่ที่ดีเหลือไม่มาก คนไข้ก็มีโอกาสที่จะเป็นวัยทองเร็วกว่าผู้หญิงทั่วไปที่มีรังไข่ปกติ 2 ข้าง


ส่วนมดลูกถ้าผ่าตัดโดยไม่จำเป็นก็ถือเป็นการสร้างบาดแผลให้กับมดลูก เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมา มดลูกจะขยายขนาดโตขึ้นเรื่อยๆตามขนาดของทารกในครรภ์ ทำให้แผลเป็นจากการผ่าตัดมดลูกที่เย็บไว้มีโอกาสปริ-แยกได้ และอาจร้ายแรงถึงขั้นมดลูกแตก ส่งผลให้เกิดอาการตกเลือดในช่องท้อง หรือถึงขั้นเสียชีวิตทั้งแม่และลูกได้เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเย็บแผลที่มดลูกได้ไม่แน่นหรือไม่แข็งแรงพอด้วยแล้ว โอกาสที่มดลูกจะแตกระหว่างตั้งครรภ์ก็ยิ่งสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้นหากแม้ว่าจะตรวจพบเนื้องอกมดลูก แต่ถ้าเนื้องอกมดลูกนั้นไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้มีลูกยาก ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป เพราะถ้าเนื้องอกมดลูกนั้นขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่กดเบียดโพรงมดลูก หรือไม่มีอาการ ก็สามารถสังเกตอาการ และตรวจติดตามเป็นระยะไปก่อนได้ ผมแนะนำว่าควรรอให้มีลูกเรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยมาผ่าตัดรักษาในภายหลังได้ครับ


ดังนั้นหมอรักษามีบุตรยากอย่างผม ถ้าไม่จำเป็นจริงๆหรือถ้าเลี่ยงการผ่าตัดรังไข่และมดลูกได้ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไว้ก่อนครับ ในกรณีที่คนไข้ยังต้องการที่จะมีลูกอยู่


แต่ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดรังไข่ขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก้อ ก็จะแนะนำการผ่าตัดแบบส่องกล้องมาเป็นอันดับแรกครับ เพราะโอกาสเกิดพังผืดภายหลังการผ่าตัดนั้นพบได้น้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง อีกทั้งการผ่าตัดแบบส่องกล้องสามารถผ่าตัดได้ละเอียดมากกว่า เพราะกล้องสามารถขยายภาพให้เห็นชัดเจน จึงมีประโยชน์อย่างมากในการผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำรังไข่ออก เพราะสามารถเก็บรักษาเนื้อรังไข่ส่วนที่ดีไว้ให้คนไข้ได้มากขึ้น ไม่สูญเสียเนื้อรังไข่ที่ดีติดไปกับถุงน้ำที่ได้เลาะออกไปนั่นเองครับ


ผมขอฝากถึงทุกท่านที่กำลังมีปัญหาถุงน้ำรังไข่ เนื้องอกมดลูก ว่าถ้ายังต้องการมีบุตรอยู่ ขอให้พิจารณให้รอบคอบก่อนตัดสินใจผ่าตัด เพราะผลที่จะตามมานั้นมันแก้ไขลำบากมาก หากมีข้อสงสัย ผมแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางนี้โดยตรงจะเป็นการปลอดภัยกับรังไข่และมดลูกของตัวคุณเองมากที่สุด เพราะนอกจากจะวางแผนการรักษาเรื่องเนื้องอกมดลูก และถุงน้ำรังไข่ให้แล้ว ยังวางแผนรักษาเรื่องการมีบุตรในอนาคตให้ร่วมด้วยครับ ไม่ต้องกังวลใจอะไรมากนักเพราะอยู่ในการดูแลของหมอที่เข้าใจถึงความสำคัญ และหวงแหนอวัยวะ 2 ส่วนนี้มากกว่าใครก็ว่าได้ครับ



นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Thursday, June 12, 2014

"สายวัดจู๋" ตัวช่วยช่วยเลือกขนาดของถุงยางอนามัย



ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายไทยไม่นิยมสวมถุงยางอนามัยนั่นก็คือ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ บ้างก็รู้สึกว่าคับไป แน่นไป เกรงว่าน้องชายจะขาดอากาศหายใจ ซ้ำร้ายถุงยางอนามัยอาจแตกขึ้นมาได้ระหว่างปฏิบัติภารกิจ หรือบางทีก็รู้สึกว่าหลวมไป ปฏิบัติภารกิจยังไม่ทันจะฟินเลย ก็ไม่รู้ว่าถุงยางหลุดไปอยู่ที่ไหนแล้ว ยุ่งล่ะสิครับทีนี้



เคยมีกรณีตัวอย่างมาปรึกษาครับว่า ภายหลังจากที่มีอะไรกันแล้วปรากฏว่าหาถุงยางอนามัยไม่เจอ ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ไหน วุ่นวายกันยกใหญ่ กลัวว่าจะหลุดเข้าไปอยู่ในท้อง เลยต้องพึงมือหมอสูติช่วยตรวจภายใน และแล้วก็พบว่าเจอถุงยางอนามัยค้างในช่องคลอด ปัญหาเช่นเกิดจากการเลือกขนาดถุงยางอนามัยที่ไม่เหมาะกับขนาดน้องชายของคุณผู้ชายเอง หรือบางทีตัวคุณผู้ชายบางคนอาจยังไม่เคยทราบมาก่อนเลยก็ได้ว่า ถุงยางอนามัยเค้ามีขนาดให้เลือกใช้เหมือนกันนะครับ ไม่ได้มีขนาดเดียวอย่างที่เคยเข้าใจกัน ไม่ใช่ว่าไปถึงร้านแล้วก็รีบๆคว้ามาเพราะเขินอาย กลัวคนอื่นจะเห็น เลยไม่ทันได้สังเกตรายละเอียดอื่นๆเลย อย่างนี้ไม่ควรนะครับ


นอกจากสี กลิ่น และผิวสัมผัสของถุงยางจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้คุณผู้ชายเลือกซื้อหาถุงยางมาใช้แล้ว ขนาดของถุงยางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรใส่ใจด้วยเช่นกันนะครับ เพราะหากเลือกขนาดได้เหมาะสมกับน้องชายเราแล้วก็จะทำให้ถุงยางอนามัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความสุขทางเพศ อีกทั้งป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยครับ


ขณะนี้ได้มีการคิดค้นจัดทำ "สายวัดจู๋" เพื่อวัดขนาดอวัยวะเพศของชายไทย เพื่อช่วยในการเลือกขนาดของถุงยางอนามัยโดยขนาดอวัยวะเพศของชายไทย ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 49 มิลลิเมตร และ 52 มิลลิเมตร โดยขนาด 54 มิลลิเมตร จะเป็นขนาดสำหรับชาวต่างชาติสำหรับตลาดในเมืองไทยเท่าที่มีจำหน่าย ก็มีอยู่ 2 ขนาด คือ ขนาด 49 มิลลิเมตร  และ ขนาด 52 มิลลิเมตร ซึ่งขนาด 49 มิลลิเมตร จะเหมาะกับคนไทยมากที่สุด เพราะน้องชายของคุณผู้ชายแต่ละคนนั้นมีขนาดแตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะต้องเลือกให้เหมาะ ก็เหมือนกับการเลือกเสื้อผ้ารองเท้า เลือกไม่ดีก็ใส่ไม่สบายจริงมั้ยละครับ


ดาวน์โหลดสายวัดจู๋ ไฟล์ PDF พิมพ์ไว้ใช้วัดได้เลย (copy ลิงค์ ไปเปิดในหน้า window ใหม่)

ขณะทำการสั่งพิมพ์ให้เลือกตัวเลือก Page Scaling เป็น none ในขณะสั่ง พิมพ์ ไม่ อย่างนั้นสเกลสายวัดจะเพี้ยน

http://www.aidsthai.org/uploads/files/246_PenisMeasureHiRes.pdf

Tuesday, June 10, 2014

Sex on Your Period! เมื่อเซ็กส์ต้องฝ่า...ไฟแดง!!




ความต้องการทางเพศเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงหรือควบคุมได้ แต่ถ้าอยู่ในจุดที่ไม่ไหวจริงๆ อะไรก็คงจะขวางไว้ไม่อยู่ เมื่ออารมณ์เข้าครอบงำจึงทำให้ใครหลายคนละเลยที่จะคิดก่อนทำ เมื่อฟินกันแล้วก็มารอลุ้นผลอะไรที่จะตามมาภายหลัง ว่าจะติดโรคหรือมีผลข้างเคียงต่อสุขภาพอื่นๆมั้ย วันนี้ผมมีคำตอบ




อยากฝ่าไฟแดงทำอย่างไรดี!!


การมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือนนั้นสามารถทำได้ แต่จะเหมาะสมหรือปลอดภัยหรือไม่นั้นก็อีกเรื่อง ซึ่งปัญหาและอันตรายที่ตามมานั้นไม่รุนแรงหรือมีผลต่อชีวิตเรามากนัก โดยปกติช่วงที่ผู้หญิงมีประจำเดือนนั้นบริเวณปากมดลูกจะเปิดกว้างมากกว่าช่วงที่ไม่มีประจำเดือน เพราะเป็นช่องระบายเลือดประจำเดือนออกจากโพรงมดลูก หากเราต้องการจะมีเพศสัมพันธ์ในช่วงนั้น แน่นอนว่าโอกาสที่เชื้อโรคจะลุกล้ำเข้าไปสู่โพรงมดลูก ปีกมดลูก หรืออุ้งเชิงกรานจะมีมากกว่าปกติ อาจทำให้โอกาสเกิดการติดเชื้อสูงขึ้น เพราะปากมดลูกกำลังเปิดอยู่นั่นเอง


ส่วนใหญ่การมีเพศสัมพันธ์ช่วงมีประจำเดือนผู้หญิงมักไม่ค่อยมีความสุขเท่าไรนัก นอกจากเลอะเทอะแล้วอาจทำให้รู้สึกอึดอัด และไม่สบายตัวจากอาการปวดท้องประจำเดือนเนื่องจากมดลูกมีการบีบตัว เพื่อหยุดเลือดประจำเดือนภายในกำลังไหลออกมา ไม่ให้ออกมากจนเกินไป บางรายทรมานมากจนถึงขั้นกลัวการมีเพศสัมพันธ์ไปเลยก็ได้





ระวัง! คุณผู้ชายก็ติดเชื้อได้


การมีเพศสัมพันธ์ขณะมีประจำเดือนนอกจากคุณสาวๆ จะเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้ว คุณผู้ชายก็มีโอกาสด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะโรคติดต่อที่ติดทางเลือด เช่น HIV, ซิฟิลิส, ไวรัสตับอักเสบบี จะมีโอกาสติดเชื้อสูง แม้คุณผู้ชายจะป้องกันโดยการใส่ถุงยางก็ตาม แต่ถุงยางปกป้องได้เพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น บริเวณที่ถุงยางไม่สามารถปกปิดได้ก็ยังคงเลอะเปื้อนเลือดได้ เช่น บริเวณหัวหน่าว และอัณฑะ ก็จะมีโอกาสติดเชื้อได้เช่นกัน


เหล่านี้ยังไม่รวมกรณีที่เกิดถุงยางหลุดหรือถุงยางแตก ฉีก ขาด โอกาสติดเชื้อก็จะเพิ่มมากขึ้นอีก ฉะนั้นหากเลี่ยงได้ควรจะเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ในช่วงมีประจำเดือนจะดีที่สุด แต่หากเลี่ยงไม่ได้ การใส่ถุงยางก็เป็นวิธีที่พอจะช่วยได้


ผ่าไฟแดงแล้วไม่ท้องจริงหรือ?


หลายคนนำทฤษฎีการนับที่เรียกว่า “หน้า 7 หลัง 7” มาใช้คุมกำเนิด โดยถือเอาช่วงระยะเวลารวม 14 วัน ที่นับจากวันแรกของการเป็นประจำเดือนย้อนกลับไป 7 วัน และนับไปข้างหน้า 7 วัน โดยเชื่อว่าช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ปลอดภัย มีเซ็กส์แล้วไม่ท้อง ซึ่งทฤษฎีนี้สามารถใช้ได้เฉพาะผู้หญิงที่มีประจำเดือนสม่ำเสมอมากจริงๆเท่านั้น จึงนับได้อย่างไม่ผิดพลาด คือ สามารถคาดคะเนได้ว่าอีกกี่วันประจำเดือนถึงจะมา ซึ่งต้องเป็นคนที่มีรอบประจำเดือนตรงเป๊ะๆ เช่น รอบ 28 วัน หรือ รอบ 30 วัน ดังนั้นการนับหน้า 7 หลัง 7 แม้ว่าจะปลอดภัยในผู้หญิงบางคน แต่ไม่ 100% ตราบใดที่คุณผู้หญิงยังไม่คุมกำเนิดด้วยวิธีอื่นร่วมด้วย โดยเฉพาะวัยรุ่นที่ประจำเดือนยังมาไม่สม่ำเสมอ


ผู้หญิงที่ประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือมีเลือดออก กะปริบกะปรอย มักเข้าใจผิดว่านั่นคือเลือดประจำเดือน หรือในช่วงตกไข่ ผู้หญิงบางคนก็มีเลือดออกเล็กน้อยได้เช่นกัน และเมื่อเกิดการเข้าใจผิด แล้วใช้ทฤษฎีหน้า 7 หลัง 7 แบบนับผิด แล้วมีเพศสัมพันธ์ช่วงนั้นซึ่งเป็นช่วงตกไข่ แน่นอนว่าก็ทำให้มีโอกาสตั้งครรภ์สูงขึ้นแน่นอนคับ


ดังนั้นหากเลี่ยงได้ก็ควรเลี่ยงจะดีกว่านะครับ หรืออย่างน้อยก็ควรใช้ถุงยางอนามัย เพื่อความปลอดภัยของทั้งตัวคุณเองและคู่นอนครับ




นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Friday, June 6, 2014

หญิงก็ได้ชายก็ดี แต่อยากมีทั้ง 2 ตัวคุณเลือกได้





เศรษฐกิจแบบนี้ การสร้างครอบครัวคงต้องคิดให้ถ้วนถี่ งบประมาณน้อย การมีลูก 1-2 คนกำลังดี แต่จะทำอย่างไรให้ได้ลูกชายลูกสาวครบองค์ประชุม หรือบางครอบครัวมีลูกมา 2-3 คนแล้ว แต่ยังเป็นลูกสาวหรือลูกชายเพศเดียว ก็มีความหวังเล็กๆ ว่าอยากจะมีลูกชายหรือลูกสาวสักคน การกำหนดเพศลูกจึงดูเป็นทางออกที่หลายคนกำลังมองหาอยู่


ฉันอยากได้ลูกชาย เธออยากได้ลูกสาว รีบตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนจะปฏิบัติการกำหนดเพศลูก! เพราะนอกเหนือจากเทคนิคทางการแพทย์แล้ว ผมมีเคล็ดลับให้คุณสามารถกำหนดเพศลูกน้อยด้วยวิธีธรรมชาติเองได้ แต่แน่นอนว่าวิธีเหล่านี้คงได้ผลไม่ดีเท่าวิธีทางการแพทย์แน่ๆ แต่ก็เป็นการเพิ่มโอกาสและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ได้ลองกัน จะเป็นวิธีอะไรบ้างนั้น อย่ารอช้า ไปดูกันเลย!

Tuesday, May 27, 2014

จดหมายตอบกลับจากคุณกะรัต “ ทำไมไม่ท้องซะที เหมือนคุณหนูเล็กคะ ??? ”



แม้ว่าผมจะเคยช่วยแนะนำคุณกะรัตนับวันตกไข่ไปแล้วในบทความก่อนหน้านี้ เรื่อง “จดหมายถึงคุณกะรัต คาดคะเนวันตกไข่ฉบับหมอเช้าตรู่” ซึ่งถือว่าได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี มีทั้งคำแนะนำ ติชม ตลอดจนฝากคำถามกันเข้ามามากมายอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจากที่ละครได้อวสานไปได้ 2 เดือนกว่าๆ คุณกะรัตก็ยังไม่มีข่าวดีเสียที ผิดกับคุณหนูเล็ก ที่คุณเขมชาติ ไม่รู้มีเทคนิคดีๆอะไรถึงได้สำเร็จในครั้งแรกครั้งเดียว จนตอนนี้คุณหนูเล็กมีอาการแพ้ท้อง ซึ่งผมได้ให้คำแนะนำไปในบทความเรื่องล่าสุด เรื่อง “สารพัดวิธีช่วยคุณหนูเล็กรับมืออาการแพ้ท้อง” ตอนที่ 1 และ ตอนจบ


มีหลายท่านสงสัยว่าทั้งๆที่คิดว่าคาดคะเนวันตกไข่ได้แม่นยำและน่าเชื่อถือมากพอสมควรแล้ว เหตุใดถึงไม่สำเร็จเสียที ผมขออธิบายดังนี้นะครับ ว่าวิธีต่างๆที่เราพยายามคาดคะเนวันตกไข่ให้ได้แม่นยำนั้นก็เพื่อที่จะทำให้ไข่และอสุจิมีโอกาสเจอกันมากที่สุด ง่ายๆก็คือ เรานัดเดทให้ไข่กับอสุจิ ส่วนภายหลังจากนั้นเค้าจะผสมกันได้หรือไม่ หรือผสมกันได้แล้วจะฝังตัวได้หรือไม่นั้น เราไม่สามารถทราบได้ และควบคุมไม่ได้ด้วยครับ เพราะเป็นเรื่องของธรรมชาติไปแล้ว เราทำอะไรไม่ได้  ซึ่งโอกาสสำเร็จในแต่ละรอบประจำเดือนนั้นจะลดลงตามอายุฝ่ายหญิงที่เพิ่มขึ้นดังนี้ครับ

  • อายุ 20-25 โอกาสสำเร็จต่อรอบ ประมาณ 25%  จึงอาจต้องใช้เวลานาน 4-5 รอบจึงจะสำเร็จ
  • อายุ 25-30 โอกาสสำเร็จต่อรอบ ประมาณ 20%  จึงอาจต้องใช้เวลานาน 5-6 รอบจึงจะสำเร็จ
  • อายุ 30-35 โอกาสสำเร็จต่อรอบ ประมาณ 15%  จึงอาจต้องใช้เวลานาน  9  รอบจึงจะสำเร็จ
  • อายุ > 35  โอกาสสำเร็จต่อรอบ ประมาณ 10%  จึงอาจต้องใช้เวลานาน  1  ปีจึงจะสำเร็จ


Monday, May 19, 2014

สารพัดวิธีช่วยคุณหนูเล็กรับมืออาการแพ้ท้อง [ตอนจบ]



บทความก่อนหน้านี้ สารพัดวิธีช่วยคุณหนูเล็กรับมืออาการแพ้ท้อง ตอนที่ 1 ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอาการแพ้ท้องไปแล้ว บทความนี้ข้อเสนอ วิธีง่ายๆช่วยลดอาการแพ้ท้อง

วิธีง่ายๆช่วยลดอาการแพ้ท้อง

ระหว่างตั้งครรภ์  ฮอร์โมนที่สูงขึ้นมีผลทำให้ระบบทางเดินอาหาร สำไส้เคลื่อนไหวช้าลง  ดังนั้นอาหารที่ย่อยยากจะเหลือค้างในกระเพาะอาหารได้นานกว่าปกติ อาจมีอาการท้องผูกหรืออาการอืดแน่นท้องได้ง่าย  บางทีรับประทานอาหารไปได้พักเดียวก็รู้สึกคลื่นไส้และอาเจียนออกมาหมด  ผมได้รวบรวมคำแนะนำทั้งจากตำราและประสบการณ์ตรงจากคนไข้ ซึ่งเป็นวิธีการดูแลตัวเองอย่างง่ายๆเพื่อให้พ้นช่วงเวลาที่มีอาการแพ้ท้องนี้ไปให้ได้ยังไงล่ะครับ

เริ่มตั้งแต่หลังตื่นนอน ไม่ควรรีบลุกออกจากเตียง เพราะการเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงท่าทางอย่างรวดเร็ว อาจส่งผลทำให้วิงเวียนและอาจกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้ได้ ควรนอนพักสัก 5-10 นาที หลังจากนั้นจึงค่อยๆลุกออกจากเตียง บางท่านแนะนำว่านอนเล่นเคี้ยวขนมปังชิ้นเล็กๆ ก่อนลุกจากที่นอนก็ช่วยลดอาการคลื่นไส้จากภาวะท้องว่างได้ดีไม่น้อยเลยนะครับ

พยายามหาอะไรทานเบาๆ ก่อนนอน เช่น ขนมปังหรือแซนด์วิช จะช่วยป้องกันอาการแพ้ท้องในเช้าวันรุ่งขึ้นได้ เนื่องจากลดโอกาสเกิดท้องว่างซึ่งมักจะกระตุ้นให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนได้ง่ายครับ

รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และหลีกเลี่ยงอาหารจำพวกของมัน ของทอด เนื้อสัตว์ใหญ่ เพราะย่อยยากจึงเหลือค้างอยู่ในกระเพาะอาหารเป็นเวลานาน ทำให้อืดแน่นท้องและกระตุ้นให้คลื่นไส้ได้

ยังไม่ควรรีบบำรุงมากจนเกินไป ควรให้พ้นช่วง 3 เดือนไปก่อนครับ เพราะช่วงนี้ทารกในครรภ์ขนาดเล็กนิดเดียว ยังไม่ต้องการสารอาหารจากมารดามากเท่าใดนัก แนะนำว่ารับประทานเท่าที่รับประทานได้ ไม่ต้องฝืนบำรุงครับ

จิบน้ำหวาน น้ำอัดลมช่วยทำให้สดชื่น กระปรี้กระเปร่าได้ครับ เพราะมีน้ำตาลกลูโคสเป็นส่วนประกอบหลัก ซึ่งเป็นสารอาหารที่ให้พลังงานงานและสามารถดูดซึมและนำไปใช้ได้พลังงานได้ทันที

น้ำผลไม้ หรือ ผลไม้รสเปรี้ยว ช่วยแก้เลี่ยนได้ ไม่ว่าจะเป็น บ๊วย มะยม มะนาว มะม่วง ได้หมดเลยครับ

ดื่มน้ำขิงอุ่นๆ ดมกลิ่นไอระเหยจะช่วยผ่อนคลาย และบรรเทาอาการคลื่นไส้ได้ไม่เลวเลยครับ

ไม่ควรดื่มน้ำทีละมากๆ หรือดื่มบ่อยๆระหว่างรับประทานอาหาร เพราะจะทำให้อิ่มเร็ว แน่นท้องและกระตุ้นให้อาเจียนได้ง่าย

น้ำเกลือแร่ ORS ที่เราดื่มๆกันในยามที่ท้องเสีย สามารถช่วยป้องกันภาวะเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ จากสูญเสียเกลือแร่จากการอาเจียนบ่อยๆ แนะนำว่าสามารถจิบได้ตลอดทั้งวันครับ

บ้วนปาก แล้วดื่มน้ำอุ่นๆตามหลังอาเจียน เพราะเป็นการช่วยล้างช่องปากและลำคอ ทำให้กลิ่นอาเจียนเบาบางลง ช่วยทำให้ไม่อยากอาเจียนมากขึ้นครับ

ให้รับประทานอาหารครั้งละน้อยๆแต่บ่อยๆ 5-6 มื้อ/วัน ไม่ควรรับประทานอาหารเป็นมื้อใหญ่ๆ เพราะจะทำให้รู้สึกแน่นท้อง คลื่นไส้ตามมาได้

หลีกเลี่ยงอาหารที่มีเครื่องเทศกลิ่นฉุน หรืออาหารกลิ่นคาว เช่น แกงกะหรี่ เนื้อปลา แนะนำให้รับประทานอาหารจำพวกข้าวต้ม  ซึ่งควรเป็นข้าวต้มขาวเปล่า ๆ กับไข่เค็ม  หมูหยอง  จะดีกว่าข้าวต้มปลา  ข้าวต้มหมู  ที่มักมีกลิ่นคาวยิ่งกระตุ้นให้อยากอาเจียน

หลีกเลี่ยงการนอนภายหลังจากรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ ควรเดินย่อยสักพักประมาณครึ่งชั่วโมง เพราะช่วงตั้งครรภ์ หูรูดส่วนบนของกระเพาะอาหารมักคลายตัวลง  อาหารไหลย้อนกลับขึ้นมาได้ง่ายขึ้น  จึงมีโอกาสเป็นโรคกรดไหลย้อน กระตุ้นให้อาเจียนได้ง่ายขึ้นครับ

รับประทานอาหารปรุงเสร็จใหม่ๆที่ยังอุ่น ๆ จะทำให้รู้สึกว่ามีรสชาติดีกว่าอาหารที่เย็นชืดแล้ว ช่วยให้รับประทานได้มากขึ้น กว่าปกติ

อาหารแห้งๆมีโอกาสกระตุ้นให้อาเจียนได้น้อยกว่าอาหารที่เป็นน้ำ เช่น ขนมจำพวกแครกเกอร์ ขนมปังกรอบแห้งๆ

ยาบำรุงโลหิตหรือธาตุเหล็ก อาจระคายเคืองกระเพาะอาหาร ทำให้อาการแพ้ท้องอาจแย่ลงได้ ดังนั้นควรรอให้พ้นช่วงแพ้ท้องไปก่อนดีกว่าครับ ส่วนยาบำรุงเลือดโฟลิค สามารถรับประทานไดเพราะไม่ระคายเคืองกระเพาะอาหาร

รับประทานวิตามินบี 6 ขนาด 50 มิลลิกรัม วันละ 2 เม็ด มีส่วนช่วยทำให้อาการแพ้ท้องดีขึ้นครับ

หากมีอาการแพ้ท้องมาก สามารถใช้ยาแก้อาเจียนชื่อ Dramamine ร่วมด้วยได้ครับ ไม่มีอันตรายแต่อย่างใด เพราะเป็นยาที่ใช้กันมานาน และยังไม่พบว่ามีผลต่อทารกในครรภ์ แนะนำว่าควรรับประทานยา 2 ชั่วโมงก่อนมีอาการแพ้ท้องเพราะจะได้ไม่อาเจียนเอายาที่รับประทานเข้าไปออกมา ทำให้ยาออกฤทธิ์ได้เต็มที่ ซึ่งปกติแล้วคนที่มีอาการแพ้ท้องจะทราบเวลาที่ตัวเองมักมีอาการบ่อยๆอยู่แล้วครับ

พยายามผ่อนคลาย ไม่ควรวิตกกังวลหรือเครียดมากจนเกินไป เพราะความเครียดก็เป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง อาจนอนฟังเพลงเบาๆ  อ่านหนังสือ จัดดอกไม้เพลิน ๆ ก็ช่วยผ่อนคลายได้ดีไม่น้อยเลยทีเดียวครับ

พยายามหาอะไรทำอยู่ตลอดเวลา อย่าทำตัวให้ว่าง เพื่อช่วยเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเรื่องอาเจียนบ้าง

ความรัก ความเข้าใจ และการดูแลเอาใจใส่จากสามี และสมาชิกในครอบครัว ถือเป็นกำลังใจที่ดีที่สามารถประคับประคองให้ผ่านช่วงเวลาที่แสนจะทรมานนี้ไปได้อย่างราบรื่นได้ครับ

นอกจากจะลองทำตามแนะนำวิธีง่ายๆเบื้องต้นที่ได้แนะนำกันไปแล้ว ก็อย่าลืมเฝ้าสังเกตอาการเพื่อเฝ้าระวังภาวะผิดปกติทางร่างกายด้วยนะครับ โดยเฉพาะ ภาวะร่างกายขาดน้ำ เนื่องจากเราชดเชยน้ำไม่เพียงพอกับที่ร่างกายสูญเสียไปจากการอาเจียน ช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์หากมีอาการแพ้ท้องมาก รับประทานอาหารไม่ค่อยได้ น้ำหนักลด คุณแม่อย่าเพิ่งวิตกกังวลว่าลูกจะได้รับอันตรายร้ายแรงนะครับ ขอแค่คุณแม่ดูแลร่างกายไม่ให้ขาดน้ำเป็นพอ เพราะทารกในครรภ์ช่วงนี้ยังไม่ได้ต้องการสารอาหารอะไรจากมารดามากเป็นพิเศษ ขอแค่มารดายังคงมีสุขภาพทั่วไปแข็งแรง ไม่มีภาวะขาดน้ำเท่านี้ก็เพียงพอแล้วครับ รอให้อาการแพ้ท้องดีขึ้นเสียก่อนค่อยเริ่มบำรุงกันใหม่ วิธีการง่ายๆในการสังเกตดูว่าร่างกายขาดน้ำหรือไม่ เช่น สังเกตดูว่าริมฝีปากและลิ้นแห้งหรือไม่ การปัสสาวะเป็นอย่างไร หากปัสสาวะนานๆครั้ง ปัสสาวะออกครั้งละน้อยๆ และมีสีเหลืองเข้ม แสดงว่าน้ำในร่างกายไม่เพียงพอ เราควรจิบน้ำให้บ่อยขึ้นแล้วสังเกตต่อไปว่า อาการต่างๆดีขึ้นหรือไม่ ปัสสาวะออกมากขึ้นและสีจางลงหรือยัง หากรับประทานอะไรไม่ได้เลยหรือถ้าลองจิบน้ำแล้วแต่อาการก็ยังไม่ดีขึ้นแนะนำว่าควรไปพบแพทย์จะดีที่สุดครับ เพราะจะได้ให้น้ำเกลือชดเชยน้ำที่สูญเสียไปเพื่อป้องกันภาวะไตทำงานผิดปกติครับ

มาถึงตอนนี้หวังว่าคุณผู้อ่านทุกท่านคงพอเข้าใจถึงที่มาที่ไปของอาการแพ้ท้องของหญิงตั้งครรภ์ได้มากขึ้น เพราะแม้จะมีผลจากฮอร์โมนช่วงตั้งครรภ์ที่สูงขึ้นเป็นสาเหตุหลัก แต่ความเครียด ความวิตกกังวล และสภาพจิตใจก็มีผลไม่น้อยที่จะทำให้อาการนั้นรุนแรงมากขึ้น หวังว่าวิธีการรับมือกับอาการแพ้ท้องอย่างง่ายๆที่ผมได้แนะนำไป คงจะพอช่วยทำให้คุณแม่ทั้งมือเก่า มือใหม่ รวมทั้งคุณหนูเล็ก ที่กำลังประสบปัญหานี้อยู่ สามารถนำไปปรับใช้และผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้อย่างราบรื่น ปลอดภัยทั้งแม่และลูก สุดท้ายคงต้องขอบคุณละครไทยด้วยเช่นกันที่นอกจากจะนำเสนอความบันเทิงอย่างเต็มที่แล้ว ก็ยังสอดแทรกชีวิตจริงของสังคมลงไปด้วย ไม่เว้นแม้กระทั่งประเด็นเรื่องของสุขภาพ แล้วกลับมาพบกันใหม่ในละครเรื่องต่อไปกันอีกนะครับ



นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Friday, May 16, 2014

สารพัดวิธีช่วยคุณหนูเล็กรับมืออาการแพ้ท้อง ตอนที่ 1



สวัสดีครับคอละครไทยทุกๆคน ห่างหายกันไปนานกับการดูละครแล้วสะท้อนสุขภาพตามแบบฉบับหมอเช้าตรู่นะครับ ช่วงนี้กระแสพี่ติ๊กฟีเวอร์ ในละคร อย่าลืมฉัน มาแรงจริงๆทำเอาบรรดาพยาบาลสาวน้อยสาวใหญ่รอบตัวผม คลั่งไคล้ในความหล่อของพี่ติ๊ก เพ้อและพูดถึงอยู่ได้ไม่เว้นแต่ละวัน แม้ว่าละครจะอวสานกันไปแล้วเมื่อคืน แต่ผมยังมีประเด็นที่สะกิดต่อมขี้สงสัยในบางฉากของละครที่ว่า นี่คงแบบฉบับละครไทยไปแล้วรึป่าว ที่ต้องเป็นอันเข้าใจว่าถ้านางเอกมีท่าทางหงุดหงิด อารมณ์แปรปรวน วีน เหวี่ยง แล้วเกิดอยากจะกินอะไรเปรี้ยวๆขึ้นมาอย่างผิดสังเกต ทำท่าทางผะอืดผะอม วิ่งเข้าห้องน้ำแล้วอาเจียน โอ้กอ้าก! เอามือกุมท้อง เงยหน้ามองกระจก หลังพิงผนัง ทรุดตัวนั่งลงกับพื้น ทำสีหน้าวิตกกังวล ใช่เลย!! ต้องท้องแน่ๆ นี่ขนาดไม่ได้ดูละครมาก่อนนะครับ ยังเดาทางได้เลยว่าต้องการจะสื่ออะไร เฮ้อ!! เอาตรงๆนะครับ ชีวิตจริงแล้วมันไม่ใช่อย่างที่ละครไทยปลูกฝังให้เราจำภาพว่าถ้าตั้งครรภ์แล้วต้องมีอาการแพ้ท้องเสมอไปนะครับ อย่างนั้นแล้วก็ขอถือโอกาสอธิบายไอ้เจ้าอาการแพ้ท้องนี้เลยแล้วกันนะครับ ว่าจริงๆแล้วมันมีอะไรมากกว่านั้น




อาการแพ้ท้องคืออะไร


อาการแพ้ท้อง หรือ Morning sickness เป็นอาการแสดงออกอย่างอย่างหนึ่งของการตั้งครรภ์ แต่ก็ไม่จำเป็นว่าหญิงตั้งครรภ์ทุกรายจะต้องมีอาการแพ้ท้อง บางรายอาจไม่มีอาการใดๆเลยซึ่งก็ไม่ถือว่าผิดปกติแต่อย่างใด แต่บางรายอาจมีแค่อาการคลื่นไส้เพียงเล็กน้อย หรือบางรายอาจรุนแรงถึงขั้นอาเจียนตลอด วิงเวียนศีรษะ โดยเฉพาะมักเป็นในตอนเช้า รับประทานอะไรไม่ได้เลย น้ำหนักลด จนอาจทำให้คุณแม่รู้สึกอ่อนเพลีย หน้ามืดเป็นลม ไม่มีเรียวแรงทำงาน รับประทานอาหารไม่อร่อยเพราะรู้สึกขมคอ ลิ้นเฝื่อนไม่มีรสชาติ กลิ่นที่เคยดมได้กลับเหม็นไปหมด หรือถึงขึ้นที่ไม่อยากตั้งครรภ์อีกเลยก็เป็นได้ครับ

แล้วอาการแพ้ท้องเกิดจากสาเหตุอะไร

สาเหตุของอาการแพ้ท้องที่แท้จริงนั้นไม่ทราบแน่ชัดว่าเกิดจากสาเหตุใด แต่พบว่ามีปัจจัยสำคัญๆ 2 อย่างที่ทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง นั่นก็คือ


1. ฮอร์โมนที่สร้างจากรกที่ชื่อว่า HCG (Human Chorionic Gonadotropin)  ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่บ่งชี้ถึงการตั้งครรภ์ เพราะภายหลังจากที่ตัวอ่อนฝังตัวในโพรงมดลูก และรกมีการพัฒนาเพิ่มจำนวนมากขึ้น ก็จะเริ่มมีการสร้างฮอร์โมน HCG ขึ้นทันที ซึ่งฮอร์โมน HCGมีผลทำให้ประสาทสัมผัสในการรับกลิ่นไวขึ้น ประสาทสัมผัสในการรับรสแย่ลง อีกทั้งระบบต่างๆในร่างกายเปลี่ยนแปลงไปจากภาวะปกติจึงทำให้เกิดอาการแพ้ท้อง โดยปกติแล้วในช่วง1สัปดาห์แรกที่ประจำเดือนขาดหายไปเนื่องจากตั้งครรภ์ รกจะเริ่มสร้างฮอร์โมน HCG ในปริมาณต่ำๆ หลังจากนั้นเมื่อรกเจริญเติบโตมากขึ้นตามอายุครรภ์ ก็จะสร้างฮอร์โมน HCGในปริมาณที่สูงขึ้นเรื่อยๆ จนมีปริมาณสูงสุดช่วงอายุครรภ์ 10-12 สัปดาห์ จากนั้นก็จะค่อยๆลดต่ำลงจนอยู่ในระดับคงที่ตั้งแต่อายุครรภ์ 16 สัปดาห์เป็นต้นไป ดังนั้นจึงสามารถอธิบายได้ว่าเหตุใดหญิงตั้งครรภ์จึงมักเริ่มมีอาการแพ้ท้องได้บ่อยในช่วงอายุครรภ์ 6-7 สัปดาห์และรุนแรงมากที่สุดราวๆ 10-12 สัปดาห์ หลังจากนั้นอาการจะค่อยๆทุเลาลง และมักหายไปภายหลังจาก 16 สัปดาห์ไปแล้วนั่นเอง แต่ก็มีบางรายที่อาการแพ้ท้องยังคงมีอยู่ตลอดช่วงตั้งครรภ์กันเลยทีเดียว



2. สภาพจิตใจ  ความเครียด ความวิตกกังวล รวมถึงการพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ สามารถส่งผลกระทบถึงสุขภาพร่างกายโดยเฉพาะระบบทางเดินอาหาร ซึ่งมักจะมีการบีบตัวของลำไส้น้อยอยู่แล้วในช่วงตั้งครรภ์ ทำให้การลำเลียงอาหารจากกระเพาะไปยังลำไส้ใช้เวลานานกว่าปกติ อาหารจึงค้างอยู่ในกระเพาะดังนั้น หญิงตั้งครรภ์จึงมักมีปัญหากรดไหลย้อน ท้องผูกได้บ่อย จึงอาจกระตุ้นให้อาการแพ้ท้องกำเริบได้ง่ายและรุนแรงขึ้นได้


อย่างไรก็ตาม  ถึงแม้ว่าภาวะจิตใจอาจส่งผลถึงอาการแพ้ท้องอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วก็มักเป็นอาการที่เกิดขึ้นจริง ๆ ไม่สามารถควบคุมได้ ไม่ได้เป็นการเสแสร้งเพื่อเรียกร้องความสนใจแต่อย่างใด ดังนั้น คุณสามี สมาชิกในครอบครัวและคนรอบข้างควรต้องทำความเข้าใจ  และคอยช่วยเหลือให้กำลังใจ  ซึ่งถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะสามารถช่วยให้อาการแพ้ท้องหายได้เร็วขึ้นครับ




กรณีที่มีอาการแพ้ท้องมากๆอาจเป็นการตั้งครรภ์ที่มีภาวะผิดปกติ

โดยเฉพาะภาวะที่มีความผิดปกติของรกที่สร้างฮอร์โมน HCG ได้มากกว่าปกติ ได้แก่

ครรภ์แฝด เนื่องจากครรภ์แฝดจะมีรกขนาดใหญ่ หรือมีรกมากกว่า 1 จึงทำให้สามารถสร้างฮอร์โมนได้มากกว่าปกติ

ครรภ์ไข่ปลาอุก ชื่ออาจฟังดูไม่ค่อยคุ้นหูสักเท่าไหร่ แต่ถือเป็นเนื้องอกของรกชนิดหนึ่ง โดยที่รกจะมีลักษณะบวมน้ำ มองเห็นเป็นถุงน้ำใสๆขนาดเล็กจำนวนมาก คล้ายเม็ดสาคูหรือไข่ปลาอุก (ตั้งแต่เกิดมาก็ยังไม่เคยเห็นหน้าคาดตาปลาชนิดนี้เหมือนกันนะครับ แต่เค้าเรียกกันอย่างนี้ตั้งแต่สมัยเรียน ก็เลยเรียกตามๆกันมา) ซึ่งรกที่ผิดปกตินี้เองสามารถสร้างฮอร์โมนได้มากกว่าปกติเป็นสิบๆเท่า


แล้วกรณีที่ไม่มีอาการแพ้ท้องเลยจะถือว่าผิดปกติมั้ย


หญิงตั้งครรภ์ที่ไม่มีอาการแพ้ท้องเลย อย่าเพิ่งเข้าใจว่าตัวเองผิดปกตินะครับ เพราะอาการแพ้ท้องแต่ละคนมีอาการไม่เท่ากัน ดังนั้นไม่ได้ถือว่าลูกไม่แข็งแรงหรือรกมีความผิดปกติแต่อย่างใด ถ้าหากไม่มีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดและไม่มีอาการปวดท้องน้อย ก็ไม่ต้องกังวลใจอะไรครับ


แต่ในกรณีที่ตั้งครรภ์แล้วมีอาการเลือดออกทางช่องคลอดในช่วง 3 เดือนเเรก หรือมีภาวะแท้งคุกคาม มีการศึกษาพบว่าหญิงตั้งครรภ์กลุ่มนี้หากมีอาการแพ้ท้องร่วมด้วย จะมีโอกาสแท้งได้น้อยกว่าคุณแม่ที่ไม่มีอาการแพ้ท้อง เพราะหากมีอาการแพ้ท้องร่วมด้วย แสดงว่ารกยังสมบูรณ์อยู่จึงสามารถสร้างฮอร์โมน HCG ในปริมาณที่สูงพอสมควร  ซึ่งปกติแล้วฮอร์โมน HCGมีส่วนช่วยประคับประคองให้การตั้งครรภ์ดำเนินต่อไปได้ ดังนั้นหากมีปริมาณที่สูงก็จะช่วยลดโอกาสเกิดการแท้งได้ครับ


ถ้าแพ้ท้องรุนแรง จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพของตัวเองและลูกน้อยในครรภ์มั้ย


อาการแพ้ท้องแม้ว่าเป็นอาการที่สามารถเกิดขึ้นได้ แต่หากมีอาการรุนแรงมากเกินไป แน่นอนว่าต้องส่งผลต่อสุขภาพร่างกายของหญิงตั้งครรภ์รวมถึงลูกน้อยในครรภ์อย่างแน่นอน โดยอาการแพ้ท้องที่รุนแรง มีศัพท์ทางการแพทย์เรียกว่า Hyperemesis Gravidarum ซึ่งจะมีอาการดังนี้ คือ

1. มีอาการแพ้ท้องเกิดขึ้นเร็วและเป็นอยู่นานกว่าหญิงตั้งครรภ์ปกติ ซึ่งโดยปกติอาการจะดีขึ้นภายหลังจาก 12-14 สัปดาห์

2. อาการคลื่นไส้อาเจียนตลอด รับประทานอะไรไม่ได้เลย เหม็นกลิ่นอาหารไปเสียทุกอย่าง น้ำก็ดื่มไม่ได้ หรืออาเจียนออกมาจนหมด อาจอาเจียนเอาน้ำย่อยรสเปรี้ยวสีเขียวปนเหลืองออกมาเพราะไม่มีอาหารในกระเพาะเหลือแล้ว ทำให้ระคายคอ อาจมีเลือดปน หรือบางรายเส้นเลือดฝอยที่ตาขาวแตก
 
3. น้ำหนักลดลงจากช่วงก่อนตั้งครรภ์ 3-4 กิโลกรัมขึ้นไป

4. ร่างกายขาดน้ำรุนแรง อ่อนเพลียมาก ริมฝีปากแห้ง คอแห้ง ปัสสาวะออกน้อย สีเหลืองเข้ม

5. หน้ามืดเป็นลม

หากมีอาการเหล่านี้อย่านิ่งนอนใจควรรีบมาพบแพทย์ เพื่อแพทย์จะได้พิจารณาให้น้ำเกลือชดเชยเกลือแร่และสารอาหารที่จำเป็น ให้ยาระงับอาการคลื่นไส้อาเจียนเพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงที่จะเกิดขึ้นตามมา อาจถึงขั้นต้องรับไว้รักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากอาการต่างๆเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อร่างกายทั้งแม่และลูกได้ครับ ได้แก่

เกิดภาวะขาดน้ำรุนแรง ทำให้เลือดข้นหนืดมากขึ้น จึงไหลเวียนไปเลี้ยงที่ไตน้อยลง อาจทำให้ไตทำงานผิดปกติถึงขั้นไตวายได้ และเลือดที่ไหลเวียนไปเลี้ยงตัวอ่อนลดลงอาจส่งผลให้ตัวอ่อนเจริญเติบโตช้า หรือหยุดการเจริญเติบโตได้เช่นกัน

ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว อาจตรวจพบว่าความดันโลหิตต่ำ หน้ามืด เป็นลม หรือเกิดภาวะช้อคได้ ส่งผลเสียต่อทั้งต่อแม่และลูกครับ

เกิดภาวะร่างกายขาดอาหารรุนแรง ช่วงแพ้ท้องที่รับประทานอาหารไม่ได้ ร่างกายขาดแหล่งพลังงาน จึงดึงเอาแหล่งพลังงานสำรองที่สะสมในร่างกายออกมาใช้ ได้แก่ ไขมันที่มีอยู่ตามร่างกายและตับออกมาใช้ จึงทำให้เกิดการคั่งของของเสียจากการเผาผลาญพลังงานเหล่านี้ออกมาใช้ จึงทำให้เลือดมีสภาพเป็นกรด ออกซิเจนในเลือดลดลง ส่งผลต่อการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์

เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ จากการที่อาเจียนบ่อยๆ ทำให้สูญเสียเกลือแร่ที่อยู่ในน้ำย่อยออกมา จึงอาจส่งผลทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ใจสั่น เป็นตะคริว เพราะระบบในร่างกายขาดสมดุล ส่งผลเสียต่อทั้งต่อแม่และลูกครับ


เนื่องจากช่วง 3 เดือนแรกเป็นช่วงเวลาสำคัญของลูกน้อยในครรภ์ เพราะเป็นช่วงที่ลูกน้อยมีการพัฒนาและสร้างอวัยวะครบสมบูรณ์ แต่อาการแพ้ท้องก็มักจะเกิดช่วงเวลานี้ด้วยเช่นกัน หากสุขภาพของมารดาไม่ดีแล้ว แน่นอนว่าต้องมีผลต่อสุขภาพทารกในครรภ์ไม่มากก็น้อย ดังนั้นคุณแม่จึงควรดูแลสุขภาพร่างกายเป็นพิเศษครับ


นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Wednesday, April 30, 2014

แตกต่าง เหมือนกัน



เนื่องด้วยอาชีพของผมนั้นต้องคลุกคลีกับการทำเด็กหลอดแก้ว จึงโชคดีที่มีโอกาสได้เห็นจุดกำเนิดของชีวิตเด็กน้อยน่ารักๆคนนึงตั้งแต่แรก เห็นตั้งแต่ครั้งที่เค้ายังเป็นแค่ฟองไข่ แล้วถูกนำมาผสมกับตัวอสุจิ และจากนั้นก็พัฒนากลายเป็นตัวอ่อน ได้เฝ้ามองการเจริญเติบโตของเค้าภายใต้กล้องจุลทรรศน์ทุกวันๆ จนกระทั่งเค้าโตพอที่จะย้ายเค้ากลับเข้าไปฝังตัวในโพรงมดลูกของมารดา เพื่อให้เกิดการตั้งครรภ์ขึ้น และจากนั้นผมก็ยังได้ดูแลเค้าต่อตั้งแต่ที่เค้าอยู่ในครรภ์มารดา คอยติดตามอัลตร้าซาวน์ดูความสมบูรณ์ของเค้าเรื่อยมา จนกระทั่งถึงวันที่ครบกำหนดคลอดและผมก็ได้ทำคลอดเค้าออกมากับมือของผมเอง มันเป็นอะไรที่วิเศษมากจริงๆครับที่ได้เห็นการถือกำเนิดชีวิตๆหนึ่งตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวันที่เค้าได้มีโอกาสลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้ครั้งแรก รู้สึกราวกับว่าผมเป็นผู้ที่สร้างเค้าขึ้นมา แค่ลองนั่งคิดดูเล่นๆก็อดยิ้มขึ้นมาไม่ได้ มันมีความสุขมากจริงๆครับ

แต่จะมีใครรู้บ้างมั้ยครับว่า เมื่อตอนเด็กๆเราทุกคนนั้นล้วนแล้วแต่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันราวกับโคลนนิ่งฝาแฝดกันมาเลยก็ว่าได้  แม้ว่าเมื่อเราโตขึ้น เราอาจจะมีความแตกต่างกันไปบ้าง ทั้งรูปร่างหน้าตา สูง ต่ำ ดำ ขาว อ้วน ผอม มีเชื้อชาติ ศาสนา และทัศนะคติที่ต่างกันออกไป แต่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตนั้นเราเคยเหมือนกันมาก่อน ผมพูดจริงๆนะไม่ได้ล้อเล่น ไม่เชื่อก็ลองอ่านต่อดูสิครับ



นี่ยังไงหละครับ รูปถ่ายผ่านกล้องจุลทรรศน์ เมื่อครั้งที่เราทุกคนยังเป็นตัวอ่อนอายุได้เพียง 5 วันภายหลังจากที่มีการปฏิสนธิระหว่างไข่กับตัวอสุจิ ก่อนที่เราจะเจริญเติบโตมากขึ้นและฟักตัวออกจากเปลือก และฝังตัวในโพรงมดลูกของมารดา ราวๆวันที่ 6-7 ของชีวิต หลังจากนั้นก็เจริญเติบโตพัฒนาเกิดเป็นการตั้งครรภ์ในที่สุด เห็นมั้ยละครับว่าเราทุกคนต่างก็เคยมีช่วงเวลาที่มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันจริงๆ



ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงลำดับพัฒนาการของมนุษย์เราตั้งแต่วันแรกที่ไข่และอสุจิปฏิสนธิกันจนเกิดเป็นตัวอ่อนขึ้น หลังจากนั้นเราก็มีการเจริญเติบโตแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จาก 1 เซลล์ กลายเป็น 2 เซลล์ในวันที่ 1 และจาก 2 เซลล์ กลายเป็น 4-6 เซลล์ในวันที่ 2 และจาก 4-6 เซลล์ กลายเป็น 8-10 เซลล์ในวันที่ 3 และจาก 8-10 เซลล์ กลายเป็นหลายๆเซลล์ในวันที่ 4 และในที่สุดเราก็กลายเป็นตัวอ่อนที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเข้าไปอยู่ในโพรงมดลูกของมารดาในวันที่ 5 หลังการปฏิสนธิ จากนั้นตัวอ่อนก็จะมีการแบ่งตัวเพิ่มจำนวนเซลล์ให้มากขึ้นและขยายขนาดจนเบียดให้เปลือกหุ้มตัวอ่อนบางลงเรื่อยๆและแตกออก แล้วจึงฟักตัวออกจากเปลือกเพื่อฝังตัวในโพรงมดลูก เจริญพัฒนากลายเป็นทารกตัวน้อยๆต่อไป



เราทุกคนคงต้องขอขอบคุณ ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด นักวิทยาศาสตร์ชาวอังกฤษ ที่ได้สร้างสรรผลงานสำคัญชิ้นประวัติศาสตร์แก่มวลมนุษยชาติ นั่นก็คือ ความสำเร็จในการให้กำเนิดเด็กหลอดแก้วรายแรกของโลก “หลุยส์ บราวน์” เด็กทารกเพศหญิงที่ถือกำเนิดขึ้นมาลืมตาดูโลกเป็นครั้งแรกเมื่อปี ค.ศ.1978 หรือราวๆ 36 ปีมาแล้ว เพราะหากไม่มีท่านพวกเราคงไม่มีโอกาสได้รับรู้ว่า กว่าที่เราจะถือกำเนิดเกิดมาเป็นมนุษย์อยางทุกวันนี้ได้นั้น มีเหตุการณ์น่าอัศจรรย์ต่างๆเกิดขึ้นมากมายเพียงใด และเราก็คงไม่มีวันรู้เลยว่าครั้งหนึ่งเมื่อเรายังเป็นตัวอ่อนตัวเล็กๆนั้น เราทุกคนถือกำเนิดขึ้นมาจากเซลล์ไข่และอสุจิผสมรวมกันกลายมาเป็นตัวอ่อนมนุษย์และเราต่างก็มีรูปร่างหน้าตาที่เหมือนกัน แม้ว่าเมื่อเราโตขึ้น เราอาจมีความแตกต่างกันออกไปมากน้อยเพียงใดก็ตาม เพราะเหตุนี้เองท่านจึงได้รับการยกย่องจากคนทั่วทั้งโลกและได้รับเกียรติรับรางวัลโนเบิลไพรซ์ เมื่อปี ค.ศ.2010



หลุยส์ บราวน์ เด็กหลอดแก้วรายแรกของโลก ถ่ายร่วมกับ นางลิสลี่ย์ บราวน์ ผู้ป็นมารดา เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม ค.ศ. 1978



ภาพถ่ายประวัติศาสตร์ระหว่าง ศาสตราจารย์ โรเบิร์ต เอ็ดเวิร์ด และ นางลิสลี่ย์ บราวน์  และ หลุยส์ บราวน์ เด็กหลอดแก้วรายแรกของโลก พร้อมด้วย คาเมร่อน บุตรชายของเธอ ถ่ายเมื่อวันที่ 12 กรกฏาคม ค.ศ.2008

แม้ว่าทุกวันนี้เราทุกคนอาจมีความแตกต่างกันไปบ้าง แต่ช่วงเวลาหนึ่งของชีวิตเรานั้นเราต่างก็เคยเหมือนกันมาก่อน เราอาจจะมีหลายๆสิ่งหลายๆอย่างที่ต่างกันไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตา เชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม ความเชื่อ ตลอดจนทัศนะคติที่แตกต่างกันออกไป แต่ใช่ว่าความต่างจะทำให้เราร่วมกันอย่างมีความสุขไม่ได้ อย่างน้อยเราก็เป็นพี่เป็นน้องร่วมโลกใบเดียวกัน และเป็นสมาชิกในครอบครัวที่ใหญ่ที่สุดในโลก แล้วยิ่งถ้าเราอยู่ภายใต้ชายคาบ้านหลังใหญ่หลังเดียวกัน บ้านที่เรียกว่า ประเทศไทยด้วยแล้ว คงไม่ต้องแปลกใจเลยว่าเราทุกคนนั้นจะมีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากแค่ไหน แม้ว่าในบางครั้งเราอาจมีความคิดและทัศนคติที่แตกต่างกัน แต่อย่างน้อยเราก็ได้ชื่อว่าเป็นพี่น้องคนไทยเหมือนๆกัน ดังนั้นเราควรหันมารักและสามัคคีกันให้มากเข้าไว้ ดีกว่ามัวมาคอยรบราฆ่าฟันพี่น้องคนไทยด้วยกันเองอย่างเช่นทุกวันนี้ คุณเห็นด้วยกับผมมั้ยครับ “ แตกต่าง แต่ก็ยัง เหมือนกัน ”

ปล. วันเด็กปีหน้า ถ้าใครจะหารูปในวัยเด็ก เอาแบบที่ดูเด็กสุดๆแบบนี้มาโพสอวดกันบ้างก็ไม่ว่าอะไรนะครับ แต่ก็คงยากหน่อยเพราะคนที่จะมีภาพแบบนี้ได้ ก็เฉพาะคนที่เกิดมาจากการทำเด็กหลอดแก้วเท่านั้นนะครับ (มิตรสหายท่านหนึ่งเคยว่าไว้)


นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Monday, April 21, 2014

กว่าจะมาเป็นเราได้อย่างทุกวันนี้ คุณเชื่อมั้ย ? “มันไม่ง่ายเลย”


ก่อนที่เราจะตัดสินว่าชีวิตนี้เราเป็นผู้พ่ายแพ้ และคิดที่จะยอมจำนนต่อปัญหาและอุปสรรคต่างๆมากมายรอบตัวเรา คุณเคยรู้มาก่อนบ้างหรือไม่ว่า ครั้งหนึ่งเราก็เคยได้เป็นผู้ชนะอย่างสมศักดิ์ศรีมาแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่เรายังไม่ทันได้ลืมตาขึ้นมาเผชิญโลกกว้างใบนี้เสียด้วยซ้ำ มันอาจจะผ่านมานานเกินไป จนอาจทำให้เราหลงลืม ไม่ทันคิดเลยว่ามีชัยชนะยิ่งใหญ่ที่สำคัญครั้งหนึ่งได้เคยเกิดขึ้นในช่วงชีวิตของเรา

Wednesday, April 16, 2014

"ไก่กับไข่" ความพิเศษของครรภ์แฝด ที่มาพร้อมความเสี่ยง




มีใครเห็นด้วยกับผมบ้างมั้ยครับว่า ในละคร อย่าลืมฉัน  “แฝดไก่กับไข่” เป็นเด็กฝาแฝดที่น่ารัก น่าหยิกแก้มซะจริงๆ เห็นแล้วหมั่นเขี้ยว แพ้ทางความน่ารักและความไร้เดียงสาของเด็ก คงเป็นเพราะเหตุผลนี้มั้งครับถึงทำให้ชีวิตผมทุกวันนี้ถึงต้องกลายมาเป็นพ่อบุญธรรมให้กับเด็กๆในสังกัดของครอบครัวมีบุตรยากหลายๆครอบครัว และนับวันผมชักจะมีเด็กๆในสังกัดเยอะขึ้นเรื่อยๆแล้วสิครับทีเนี้ยะ!!



คงเป็นเพราะความน่ารักและดูพิเศษกว่าเด็กปกติทั่วๆไปของเด็กแฝดที่เป็นเด็กน้อยน่ารักและมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกันมากกว่า 1 คน จึงเป็นความใฝ่ฝันของหลายๆครอบครัวที่อยากจะมีลูกแฝดและเข้ามาขอคำปรึกษาแนะนำที่คลินิกรักษาผู้มีบุตรยากอยู่ไม่น้อยทีเดียว แต่หลายคนอาจยังไม่รู้ว่า แม้ว่าการตั้งครรภ์แฝดจากกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วนั้นมีโอกาสเกิดขึ้นได้บ่อยกว่าการตั้งครรภ์แฝดปกติตามธรรมชาติ แต่จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าเด็กแฝดที่ถือกำเนิดมาจากการทำเด็กหลอดแก้วนั้นส่วนใหญ่แล้วจะเป็น “แฝดเทียม” คือ มีรูปร่างหน้าตาไม่เหมือนกัน อาจดูคล้ายกัน เพศอาจจะเหมือนหรือต่างกันเลยก็เป็นได้ แต่ที่สำคัญคือ มี DNA ที่แตกต่างกัน มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่จะเป็น “แฝดแท้” หรือแฝดเหมือน คือ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนกัน เพศเดียวกัน และมี DNA เหมือนกันทุกอย่าง ซึ่งสาเหตุเกิดจากอะไรนั้น จะขออธิบายต่อไปครับ

Friday, April 11, 2014

Q&A กับ Dr.เช้าตรู่: ก่อนมีประจำเดือนมักมีเลือดสีน้ำตาลๆออกมาก่อน1-2 วัน ผิดปกติหรือเปล่า



Q: คุณหมอคะ ช่วงก่อนมีประจำเดือนมักมีเลือดสีน้ำตาลๆออกมาก่อน1-2 วัน ถือว่าผิดปกติมั้ยคะ แล้วถ้าจะนับวันแรกของประจำเดือนควรนับวันไหนดีคะ

A: เลือดประจำเดือนที่ไหลออกมาภายนอกให้คุณสาวๆเห็นนั้น แท้ที่จิงแล้วก็คือ เยื่อบุผนังโพรงมดลูกที่หนาตัวขึ้นมาตามอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิงในแต่ละรอบประจำเดือน เพื่อรองรับการฝังตัวของตัวอ่อนในโพรงมดลูกกรณีที่มีการปฏิสนธิเกิดขึ้น แต่หากรอบเดือนนั้นไม่มีการปฏิสนธิ เยื่อบุผนังโพรงมดลูกก็จะหลุดลอกออกมาเป็นเลือดประจำเดือนสีแดงช้ำๆให้เร็วเห็น ปริมาณอาจมากบ้างน้อยบ้างขึ้นกับความหนาของเยื่อบุผนังโพรงมดลูกคับ ยิ่งหนามากเลือดประจำเดือนก็อาจจะออกมากตามไปด้วยคับ

ในกรณีที่สาวๆบางท่านมีเลือดสีน้ำตาลคล้ำๆ นำมาก่อนการเปนประจำเดือน เป็นผลจาก การหลุดลอกตัวเกิดขึ้นบางส่วน ยังไม่เกิดการหลุดลอกตัวสมบูรณ์ทั้งโพรงมดลูก จึงทำให้เลือดที่ออกปริมาณไม่มาก เมื่อเจอสภาพความเปนกรดในช่องคลอดคุณผู้หญิง สีจึงเปลี่ยนจากแดงๆเป็นน้ำตาลๆคับ
ถือเป็นเรื่องปกติที่สามารถพบได้คับ
แต่การจะเริ่มนับวันที่1 ของรอบประจำเดือน แนะนำว่าควรเป็นวันที่เยื่อบุผนังโพรงมดลูกส่วนใหญ่ลอกตัวพร้อมกันคับ นั่นก็คือวันที่เลือดประจำเดือนเป็นสีแดงช้ำๆปริมาณมากนั่นเองคับ

กรณีที่มีเลือดสีน้ำตาลคล้ำๆตามหลังการมีประจำเดือนก็เช่นกัน เป็นผลจากเลือดประจำเดือนที่ออกมายังออกมาไม่หมดเหลืออยู่เล็กน้อย จึงทะยอยออกมา เมื่อเจอสภาพความเป็นกรดในช่องคลอดสีก็เลยเปลี่ยนไปนั่นเองคับ

Monday, April 7, 2014

Q&A กับ Dr.เช้าตรู่: หลังฉีดยาคุมประจำเดือนไม่มา บางเดือนมากะปริบกะปรอย



Q : เมื่อก่อนเคยฉีดยาคุมคะ ประมาณสองสามครั้งได้ แต่ในช่วงระหว่างที่ฉีดไม่เคยมีประจำเดือนมาเลยแม้แต่นิดแล้วก็หยุดฉีดไปหลายปี เพิ่งจะมาฉีดใหม่เมื่อเดือนก่อน เดือนแรกหลังฉีดไม่ประจำเดือนมา แต่เดือนนี้ตอนนี้มีประจำเดือนมา มาแบบกะปริดกะปรอยหนึ่งวันประมาณหนึ่งแผ่นรองอนามัยได้ แต่มันน่ารำคาญมาก ร่างกายเราผิดปกติอะไรไหมคะแบบนี้ แล้วมีวิธีไหนบ้างไหมคะทีจะทำให้มันหยุดไหล ภายในอาทิตย์นี้ถึงอาทิตย์หน้า เพราะต้องไปต่างประเทศ เลยไม่สะดวก ขอคำแนะนำด้วยคะ

A : ยาฉีดคุมกำเนิดที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในปัจจุบันของประเทศไทย หรือ DMPA  เป็นยาฉีดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนเดี่ยว คือ มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนตัวเดียว 1 เข็ม สามารถคุมกำเนิดได้ประมาณ 3 เดือน และต้องฉีดใหม่ทุกๆ 3 เดือน

ยาฝังคุมกำเนิด หรือ Implanon  เป็นยาคุมกำเนิดที่มีเฉพาะฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนตัวเดียวเช่นกันกับยาฉีดคุมกำเนิด ยาฝังคุมกำเนิดจะมีลักษณะเป็นหลอดเล็กๆขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาญ 2 มิลลิเมตร ยาว 3 เซนติเมตร จำนวน 1หลอด ฝังอยู่ใต้ผิวหนังบริเวณท้องแขน โดยที่ ยาฝังคุมกำเนิด1 หลอด ออกฤทธิ์คุมกำเนิดได้นาน 3 ปี เพราะกลไกการออกฤทธิ์ของยาฝังจะค่อยๆปลดปล่อยตัวยาฮอร์โมนที่บรรจุอยู่ในหลอดยาออกมาทีละนิดๆทุกวัน

การที่มีเลือดออกกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอดหรือไม่มีประจำเดือนมาเลย ถือว่าเป็นผลข้างเคียงอย่างหนึ่งของยาฉีดและฝังคุมกำเนิดครับ ซึ่งสามารถพบเหตุการณ์เช่นนี้ได้ไม่ใช่ความผิดปกติที่ร้ายแรงแต่อย่างใด สาเหตุก็เพราะผนังโพรงมดลูกแห้งและบางลงมากจนเกินไปภายหลังจากการได้รับฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนตัวเดียวเป็นเวลานานๆ ซึ่งถ้าอาการเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอดสีน้ำตาลบ้าง แดงบ้าง นานๆครั้งนั้นไม่ได้ทำให้รำคาญใจก็ไม่จำเป็นต้องรักษาอะไรครับ เพราะเมี่อหยุดใช้ยาฉีดหรือเอายาฝังคุมกำเนิดออก ประจำเดือนก็จะกลับมาเป็นปกติภายใน 3-6 เดือน หรือบางรายนานถึง 1 ปี ก็เป็นได้ครับ

แต่ในกรณีที่มีเลือดออกกะปริบกะปรอยทางช่องคลอดบ่อยๆต่อเนื่องกันเป็นเวลานานๆจนเกิดความรำคาญใจ แสดงว่าโพรงมดลูกอาจจะแห้งมากเกินไป เปรียบเทียบให้เห็นภาพก็คือว่าผนังโพรงมดลูกตอนนี้คล้ายๆกับผิวหนังในฤดูหนาวที่แห้งมาก พอผิวที่แห้งแตกก็อาจมีเลือดออกซิบๆได้ ดังนั้นการแก้ไขง่าย ๆ ก็คือ ต้องสร้างความชุ่มชื้นให้แก่ผิวหนังด้วยการทาโลชั่น แต่โลชั่นสำหรับผนังโพรงมดลูกก็คือฮอร์โมนเอสโตรเจน หรือก็คือฮอร์โมนเพศหญิงนั่นเองคับ

ซึ่งฮอร์โมนเพศหญิงที่หาได้ง่ายๆ เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิดชนิดฮอร์โมนรวม เช่น dian-35, yasmin , marvelon ซึ่ง 1แผง มี 21 เม็ด ทุกเม็ดมีปริมาณยาเท่ากันครับ รับประทานเม็ดไหนก่อน-หลังก็ได้คับ แต่หากรับประทานตามวันหรือลูกศรที่อยู่บนแผงยาก็จะช่วยทำให้ง่ายต่อการจดจำว่าลืมรับประทานยาหรือไม่ครับ แต่ถ้าเป็นชนิด 28 เม็ด เช่น mercilon แนะนำว่าให้ทิ้ง 7 เม็ดสุดท้ายที่มีสีหรือขนาดเม็ดยาที่ต่างจากเม็ดยา 21 เม็ดไป เพราะเป็นส่วนของเม็ดยาที่ไม่มีฮอร์โมนแต่เป็นเพียงวิตามิน หลังจากนั้นก็สามารถใช้ยาคุมที่เหลือ 21 เม็ดที่เหลือได้เหมือนกันแล้วครับ โดยรับประทานเม็ดไหนก่อน-หลังได้เช่นเดียวกันครับ วันละ 1 เม็ด ก่อนนอน เป็นระยะเวลาสั้นๆประมาณ 10-14 วัน หรือถ้าเลือดออกเยอะอาจรับประทานทานจนหมดแผง 21 เม็ดเลยก็ได้ครับ

เพียงเท่านี้อาการเลือดออกกะปริบกะปรอยก็จะหายไป และถ้ามีอาการเช่นนี้กลับมาอีกก็รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิดเช่นเดิมแบบนี้เป็นระยะๆคับ ก็จะช่วยลดความรำคาญจากภาวะเลือดออกกะปริบกะปรอยจากการฉีดหรือฝังยาคุมกำเนิดไปได้วิธีหนึ่งครับ

Sunday, April 6, 2014

ฝ่าวิกฤติตั้งครรภ์ 3 เดือนแรก พร้อมรับมือท้องนอกมดลูก-ท้องลม-ตัวอ่อนเสียชีวิต




คุณผู้หญิงที่วางแผนจะมีบุตร และรอคอยเวลาที่จะมีลูกตัวน้อยๆมาเติมเต็มชีวิตคู่ ไม่ว่าจะด้วยวิธีธรรมชาติหรือเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น การทำเด็กหลอดแก้ว เมื่อประจำเดือนขาดหายไปคงต้องรู้สึกตื่นเต้นและแอบลุ้นอยู่ในใจ แล้วยิ่งเมื่อทดสอบการตั้งครรภ์จากปัสสาวะหรือตรวจเลือดยืนยันแล้วพบว่าท้องขึ้นมาจริงๆ แทบทุกคนต้องดีใจเป็นที่สุดอย่างแน่นอน แต่อย่าเพิ่งด่วนดีใจไปครับ เพราะนี่เป็นเพียงแค่ก้าวแรกของการตั้งครรภ์เท่านั้น ยังมีเหตุการณ์ต่างๆที่ไม่คาดคิดอีกมากมายเกิดขึ้นได้เสมอโดยเฉพาะช่วง 3 เดือนแรก ดังนั้นจึงต้องมีการตรวจติดตามอาการอย่างใกล้ชิดและสม่ำเสมอเพื่อประเมินว่าการตั้งครรภ์ที่เกิดขึ้นนั้นปลอดภัยหรือไม่ และควรดูแลตัวเองและสังเกตอาการผิดปกติอย่างไรบ้าง ซึ่งพอจะไล่เลียงถึงลำดับขั้นตอนการเฝ้าติดตามให้เข้าใจง่ายๆได้ดังนี้

ช่วงอายุครรภ์ 4-5 สัปดาห์ นับจากวันแรกของการมีประจำเดือนครั้งสุดท้าย

ภายหลังจากที่ประจำเดือนขาดหายไปประมาณ 1 สัปดาห์หรือประมาณ 12-14 วัน ภายหลังจากการย้ายตัวอ่อนในกรณีทำเด็กหลอดแก้ว หากตรวจการตั้งครรภ์โดยการเจาะเลือดเพื่อตรวจหาระดับฮอร์โมน hCG ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่สร้างจากรก แล้วพบว่าฮอร์โมน hCG มีระดับที่สูงขึ้น สามารถบ่งบอกได้ว่าคุณผู้หญิงมีภาวะตั้งครรภ์เกิดขึ้น โดยเราเรียกการตั้งครรภ์ระยะนี้ว่า Chemical pregnancy หรือการตั้งครรภ์ที่วินิจฉัยจากผลแล็ป ระยะนี้คุณผู้หญิงอาจมีอาการคัดตึงเต้านม บางรายเริ่มเบื่ออาหาร ส่วนอาการแพ้ท้องอาจยังไม่ชัดเจนนักเพราะระดับฮอร์โมน hCG ที่เป็นสาเหตุของอาการแพ้ท้องนั้นยังอยู่ในระดับที่ยังไม่สูงมากนัก การอัลตร้าซาวน์ในระยะนี้อาจยังไม่สามารถเห็นถุงการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูกได้ชัดเจนนัก ดังนั้นตราบใดที่ยังไม่สามารถอัลตร้าซาวน์เห็นถุงการตั้งครรภ์ภายในโพรงมดลูก ก็ยังมีโอกาสที่จะเป็นท้องนอกมดลูกได้อยู่ จึงจำเป็นต้องมีการนัดตรวจติดตามอัลตร้าซาวน์อีกครั้งประมาณ 2-3 สัปดาห์หลังจากนี้ ระยะนี้คุณผู้หญิงควรต้องดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี พักผ่อนให้เพียงพอ งดยืน-เดินนานๆ หลีกเลี่ยงยกของหนัก การออกกำลังกายหักโหม รับประทานอาหารที่ใหม่-สด-สะอาดเพื่อป้องกันอาการท้องเสีย และใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ตลอดจนเฝ้าสังเกตอาการปวดหน่วงท้องน้อย เลือดออกทางช่องคลอดหน้ามืด วิงเวียนศีรษะ เป็นลม ซึ่งเป็นอาการผิดปกติของภาวะแท้งบุตร หรือท้องนอกมดลูกได้ครับ

การตั้งครรภ์นอกมดลูก คือ การตั้งครรภ์ที่ตัวอ่อนมีการเจริญเติบโตอยู่ที่อื่นภายนอกโพรงมดลูก เช่น ที่ท่อนำไข่ ที่รังไข่  ที่เยื่อบุช่องท้อง เป็นต้นครับ ซึ่งตำแหน่งเหล่านี้เป็นตำแหน่งที่มีกล้ามเนื่อน้อย บอบบาง ไม่เหมาะสมต่อการตั้งครรภ์ จึงก่อให้เกิดอันตรายร้ายแรงได้ เพราะส่วนใหญ่แล้วตัวอ่อนจะเจริญเติบได้ไม่เกินอายุครรภ์ 3 เดือน ถุงการตั้งครรภ์ก็มักจะแตกหรือแท้ง ทำให้ตกเลือดในช่องท้องเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ หญิงตั้งครรภ์ที่สงสัยว่าอาจจะมีภาวะตั้งครรภ์นอกมดลูก อาจมีอาการผิดปกติ ได้แก่ เลือดออกทางช่องคลอด ปวดท้องน้อยรุนแรง วิงเวียนศีรษะเป็นลม ซึ่งต้องไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจภายในและทำอัลตร้าซาวน์ ถ้าอัลตร้าซาวน์ไม่พบถุงการตั้งครรภ์ในโพรงมดลูก แต่กลับพบก้อนผิดปกติหรือเห็นถุงการตั้งครรภ์ภายนอกโพรงมดลูก ก็สามารถวินิจฉัยว่าเป็นการตั้งครรภ์นอกมดลูก โดยปกติแล้วการตั้งครรภ์นอกมดลูกนั้นจะไม่สามารถดำเนินต่อไปจนสำเร็จคลอดออกมาเป็นทารก จำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ด้วยการผ่าตัดเอาออกก่อนที่จะแตกหรือก็ต้องใช้ยาทำลายให้ฝ่อสลายหายไปเพื่อความปลอดภัยของหญิงตั้งครรภ์ครับ  (สามารถหาอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเรื่องการตั้งครรภ์นอกมดลูก จากบทความ ” ไขปัญหา สายน้ำผึ้ง คุณหมอเช้าตรู่คะ หนูท้องนอกมดลูกจริงๆเหรอ” ได้จากบทความก่อนหน้านี้ครับ)
   


                  
                       
ภาพอัลตร้าซาวน์ทางช่องคลอด พบถุงการตั้งครรภ์ภายในโพรงมดลูก 

Thursday, April 3, 2014

Q&A กับ Dr.เช้าตรู่: แท้งบุตรแล้วไม่ขูดมดลูก จะทำให้มดลูกไม่สะอาดหรือเปล่า และเป็นสาเหตุให้ต่อไปมีลูกยากขึ้นมั้ยคะ?



Q : แท้งบุตรแล้วไม่ขูดมดลูก จะทำให้มดลูกไม่สะอาดหรือเปล่า และเป็นสาเหตุให้ต่อไปมีลูกยากขึ้นมั้ยคะ?


A : การแท้งบุตรไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือจากการที่แพทย์ชักนำให้เกิดการแท้ง เช่น ทารกในครรภ์เสียชีวิต ภาวะท้องลม ก่อนอื่นคงต้องดูก่อนว่าการแท้งนั้น ชิ้นส่วนของการตั้งครรภ์หรือถุงการตั้งครรภ์นั้นแท้งออกมาหมด ครบสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าตรวจภายในและอัลตร้าซาวน์เช็คดูแล้วว่าแท้งออกมาหมด ครบสมบูรณ์ดีก็ไม่จำเป็นต้องขูดมดลูกซ้ำ เพราะการขูดมดลูกในกรณีแท้งครบสมบูรณ์ไม่ได้ช่วยให้มดลูกสะอาด หรือทำให้มีลูกครั้งต่อไปง่ายขึ้น ตามที่เราๆ เข้าใจกันแต่อย่างใด แต่กลับทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงตามมาเสียมากกว่า เช่น มดลูกติดเชื้อ มดลูกทะลุ รวมถึงอาจเป็นการทำให้เกิดบาดแผลภายในโพรงมดลูกลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อมดลูก ส่งผลทำให้เกิดพังผืดตามมาจนเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะไม่มีประจำเดือนเลยภายหลังจากขูดมดลูก บางรายประจำเดือนออกน้อยลงกว่าเดิมชัดเจน หรือมีปัญหาภาวะมีบุตรยากได้ในอนาคตก็เป็นได้

ดังนั้นความเชื่อที่ว่าถ้าแท้งแล้วไม่ได้ขูดมดลูก จะทำให้มดลูกไม่สะอาด ควรได้รับการทำความเข้าใจเสียใหม่ และเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้รับทราบเพื่อที่จะได้มีความเข้าใจที่ถูกต้องมากยิ่งขึ้นคับ

สรุปว่าถ้าเกิดการแท้งเองตามธรรมชาติหรือมีความจำเป็นต้องใช้ยาเหน็บให้แท้งออกมาตามคำแนะนำของแพทย์ ถ้าหากเป็นการแท้งออกมาหมดครบสมบูรณ์ก็ไม่จำเป็นต้องขูดมดลูกครับ คือจะพยายามหลีกเลี่ยงการขูดมดลูกโดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าคนไข้ยังมีความต้องการที่จะมีบุตร แพทย์ที่ดูแลจะให้ความสำคัญกับประเด็นการขูดมดลูกมาก ถ้าเลี่ยงได้หรือไม่มีความจำเป็นก็จะไม่ขูดเลยครับ

แต่หากจำเป็นต้องขูดมดลูกขึ้นมาจริงๆ เช่น แท้งออกมาไม่ครบ ก็อย่าได้วิตกกังวลมากจนเกินไปเพราะด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น จึงมีการผลิตเครื่องมือขูดมดลูกแบบใหม่ขึ้นมา ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดพลาสติกเล็กๆหลากหลายขนาดต่อเข้ากับกระบอกสุญญากาศ เพื่อเป็นการทดแทนการขูดมดลูกโดยใช้เหล็กแหลม ที่ใช้กันมาในอดีต เรียกเครื่องมือขูดมดลูกชนิดใหม่นี้ว่า เครื่องดูดมดลูกมือถือ ซึ่งสามารถหาอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ในบทความเรื่อง"เครื่องดูดมดลูกมือถือ" โฉมใหม่ขูดมดลูก ไม่น่ากลัวอย่างที่คิด

Wednesday, April 2, 2014

ไขปัญหา "สายน้ำผึ้ง" หมอเช้าตรู่คะหนูท้องนอกมดลูกจริงๆเหรอ ?



ช่วงนี้งานยุ่งมากครับ ทำให้พลาดชมละคร สามีตีตรา ไปหลายตอนแล้ว เลยต้องมาตามเก็บตกดูละครย้อนหลังกันจนดึกจนดื่น ยิ่งละครจะอวสานในคืนนี้ด้วยแล้ว ทำเอาผมขอบตาดำไปทำงานแทบทุกวันเลยก็ว่าได้ครับ แต่ประเด็นมันคืออย่างนี้คับ มีแฟนเพจถามคำถามเข้ามาครับว่า “เห็นฉากหนึ่งในละครที่คุณหมอบอกสายน้ำผึ้งว่าเธออาจจะท้องนอกมดลูกเพราะตรวจพบว่าอัตราการเพิ่มขึ้นของฮอร์โมนน้อยผิดปกติ จึงสงสัยว่าท้องนอกมดลูกนี้มันคืออะไร” งานเข้าล่ะสิครับทีนี้ นอกจากจะตามดูย้อนหลังไม่ทันแฟนเพจแล้วยังตกข่าวอีกครับว่าสายน้ำผึ้งตั้งท้องรอบใหม่แล้ว ทำเอาผมกันเงิบไปเลย!! รีบกลับไปดูละครย้อนหลังแทบไม่ทันแต่เมื่อดูจบก็พอจะเข้าใจประเด็นคำอธิบายของคุณหมอในละครที่สงสัยว่า สายน้ำผึ้ง เธออาจจะท้องนอกมดลูก แล้วล่ะครับ 

Tuesday, April 1, 2014

Q&A กับ Dr.เช้าตรู่: แท้งบุตรแล้วไม่ขูดมดลูก จะทำให้มดลูกไม่สะอาดหรือเปล่า และเป็นสาเหตุให้ต่อไปมีลูกยากขึ้นมั้ยคะ?



Q : แท้งบุตรแล้วไม่ขูดมดลูก จะทำให้มดลูกไม่สะอาดหรือเปล่า และเป็นสาเหตุให้ต่อไปมีลูกยากขึ้นมั้ยคะ?

A : การแท้งบุตรไม่ว่าจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ หรือจากการที่แพทย์ชักนำให้เกิดการแท้ง เช่น ทารกในครรภ์เสียชีวิต ภาวะท้องลม ก่อนอื่นคงต้องดูก่อนว่าการแท้งนั้น ชิ้นส่วนของการตั้งครรภ์หรือถุงการตั้งครรภ์นั้นแท้งออกมาหมด ครบสมบูรณ์หรือไม่ ถ้าตรวจภายในและอัลตร้าซาวน์เช็คดูแล้วว่าแท้งออกมาหมด ครบสมบูรณ์ดีก็ไม่จำเป็นต้องขูดมดลูกซ้ำ เพราะการขูดมดลูกในกรณีแท้งครบสมบูรณ์ไม่ได้ช่วยให้มดลูกสะอาด หรือทำให้มีลูกครั้งต่อไปง่ายขึ้น ตามที่เราๆ เข้าใจกันแต่อย่างใด แต่กลับทำให้เกิดผลเสียร้ายแรงตามมาเสียมากกว่า เช่น มดลูกติดเชื้อ มดลูกทะลุ รวมถึงอาจเป็นการทำให้เกิดบาดแผลภายในโพรงมดลูกลึกถึงชั้นกล้ามเนื้อมดลูก ส่งผลทำให้เกิดพังผืดตามมาจนเป็นสาเหตุให้เกิดภาวะไม่มีประจำเดือนเลยภายหลังจากขูดมดลูก บางรายประจำเดือนออกน้อยลงกว่าเดิมชัดเจน หรือมีปัญหาภาวะมีบุตรยากได้ในอนาคตก็เป็นได้