Friday, June 6, 2014

หญิงก็ได้ชายก็ดี แต่อยากมีทั้ง 2 ตัวคุณเลือกได้





เศรษฐกิจแบบนี้ การสร้างครอบครัวคงต้องคิดให้ถ้วนถี่ งบประมาณน้อย การมีลูก 1-2 คนกำลังดี แต่จะทำอย่างไรให้ได้ลูกชายลูกสาวครบองค์ประชุม หรือบางครอบครัวมีลูกมา 2-3 คนแล้ว แต่ยังเป็นลูกสาวหรือลูกชายเพศเดียว ก็มีความหวังเล็กๆ ว่าอยากจะมีลูกชายหรือลูกสาวสักคน การกำหนดเพศลูกจึงดูเป็นทางออกที่หลายคนกำลังมองหาอยู่


ฉันอยากได้ลูกชาย เธออยากได้ลูกสาว รีบตกลงกันให้เรียบร้อยก่อนจะปฏิบัติการกำหนดเพศลูก! เพราะนอกเหนือจากเทคนิคทางการแพทย์แล้ว ผมมีเคล็ดลับให้คุณสามารถกำหนดเพศลูกน้อยด้วยวิธีธรรมชาติเองได้ แต่แน่นอนว่าวิธีเหล่านี้คงได้ผลไม่ดีเท่าวิธีทางการแพทย์แน่ๆ แต่ก็เป็นการเพิ่มโอกาสและเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ว่าที่คุณพ่อคุณแม่ได้ลองกัน จะเป็นวิธีอะไรบ้างนั้น อย่ารอช้า ไปดูกันเลย!






อย่าใจร้อน! มาทำความเข้าใจกันก่อน


ย้อนกลับไปนึกถึงวิชาวิทยาศาสตร์ชั้นมัธยมศึกษา อาจจะย้อนไกลไปสักนิดแต่เพราะหลักๆ เราต้องเข้าใจก่อนว่าการที่เราจะมีลูกได้นั้นต้องอาศัยเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิง คือ ไข่ และเซลล์สืบพันธุ์เพศชาย คือ ตัวอสุจิ โดยโครโมโซมของมนุษย์จะมีทั้งหมด 46 แท่ง หรือ 23 คู่ โดยที่ 22 คู่แรกจะเป็นโครโมโซมร่างกาย ซึ่งเหมือนกันไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิง แต่ที่เหลืออีก 1 คู่สุดท้ายจะเป็นโครโมโซมเพศซึ่งจะแตกต่างกัน โดยที่ผู้หญิงจะเป็น XX และผู้ชายจะเป็น XY



เพศ
เซลล์สืบพันธุ์
โครโมโซมเพศ
แบ่งเซลล์สืบพันธุ์
หญิง
ไข่
XX
ไข่ กับ ไข่ X
ชาย
ตัวอสุจิ
XY
ตัวอสุจิ X
กับ
ตัวอสุจิ Y

                

แบ่งเซลล์สืบพันธุ์ได้อย่างไร ในกระบวนการแบ่งเซลล์สืบพันธุ์โครโมโซมของเราจะลดลงเป็นครึ่งหนึ่ง คือ จาก 46 แท่ง จะเหลือ 23 แท่ง เพื่อกลายไปเป็นเซลล์สืบพันธุ์ โดยที่โครโมโซมเพศของฝ่ายชาย (XY) จะถูกแบ่งออกเป็นตัวอสุจิตัวเมีย (X) และ ตัวอสุจิตัวผู้ (Y) ส่วนของฝ่ายหญิง (XX) จะถูกแบ่งออกเป็น ไข่ X กับ ไข่ X ฉะนั้นการที่จะมีลูกเพศใดนั้น ปัจจัยจึงไม่ได้มาจากฝ่ายหญิงแต่มาจากฝ่ายชายเป็นหลัก ว่าจะเป็นตัวอสุจิ X หรือ Yที่ไปผสมกับไข่ X ดังนั้นหากต้องการการลูกชาย จึงต้องพยายามให้เป็นตัวอสุจิตัวผู้ (Y) เท่านั้นที่ไปผสมกับไข่ แต่ในทางกลับกันหากต้องการลูกสาวก็ต้องพยายามให้เป็นตัวอสุจิตัวเมีย (X)



สมการเลือกเพศลูกน้อย












ตัวอสุจิตัวเมีย (X) VS ตัวอสุจิตัวผู้ (Y)


จุดเริ่มต้นของวิธีการเลือกเพศในปัจจุบันนั้น เริ่มจากการที่นักวิทยาศาสตร์ได้สังเกตุเห็นว่า ตัวอสุจิตัวเมีย (X) และตัวอสุจิตัวผู้ (Y)  มีความแตกต่างกันบางอย่างภายหลังจากที่ใช้กล้องขยายส่องดู พบว่าลักษณะทางกายภาพเบื้องต้นของตัวอสุจิตัวผู้ (Y) นั้นจะมีคุณสมบัติพิเศษคือ ตัวผอมและว่ายเร็ว ส่วนตัวอสุจิตัวเมีย (X) จะตัวใหญ่กว่าและว่ายช้ากว่า นอกจากนั้นยังพบว่าตัวอสุจิตัวผู้ (Y) นั้นมีความทนทานหรือความอึดต่อความเป็นกรดได้น้อยกว่าตัวอสุจิตัวเมีย (X)




รู้หรือไม่ว่าช่องคลอดของผู้หญิงมีความเป็นกรด



ช่องคลอดของผู้หญิงมีแบคทีเรียชนิดหนึ่ง ชื่อแลคโตบาซิลลัส ซึ่งมีผลทำให้ช่องคลอดมีสภาพเป็นกรดอ่อนๆ หากตัวอสุจิตัวผู้ (Y) อยู่ในช่องคลอดที่เป็นกรดเป็นระยะเวลานานๆ ก็จะมีโอกาสรอดน้อย ทำให้ตัวอสุจิตัวเมีย (X) ที่อึดและทนทานมีโอกาสอยู่รอดได้มากกว่า เราจึงพยายามคิดหาวิธีว่าจะทำอย่างไรให้สภาพแวดล้อมในช่องคลอดเหมาะสมกับความอยู่รอดของตัวอสุจิแต่ละเพศเพื่อเพิ่มโอกาสการได้ลูกตามเพศที่เราต้องการ 





เลือกลูกสาวหรือลูกชาย ง่ายนิดเดียว


1.ปรับสภาพช่องคลอด


  • กรณีอยากได้ลูกชาย ทำให้ช่องคลอดผู้หญิงมีความเป็นด่าง เนื่องจากตัวอสุจิตัวผู้ (Y) ทนกรดได้ไม่ดีนัก บางคนจึงนำผงฟู หรือเบ๊กกิ้งโซดา2ช้อนโต๊ะ จือจางกับน้ำสะอาด 1 ลิตร เขย่าจนละลายหมด สวนล้างช่องคลอดก่อนมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากเป็นด่างอ่อนๆจึงไม่ระคายเคืองหรือเป็นอันตรายกับช่องคลอด แต่ก็ไม่ควรทำบ่อยๆ เนื่องจากอาจเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้นเนื่องจากปกติสภาพความเป็นกรดในช่องคลอดมีผลช่วยป้องกันเชื้อโรคอาจเล็ดลอดเข้าไปได้ตามธรรมชาติ

  • กรณีอยากได้ลูกสาว ปรับสภาพช่องคลอดให้เป็นกรดมากขึ้น บางคนใช้น้ำส้มสายชู 2 ช้อนโต๊ะเจือจางกับน้ำสะอาด 1 ลิตร แล้วสวนล้างช่องคลอด อาจจะทำโดยการนั่งแช่แล้วค่อยๆ กวักน้ำเข้าไปก็ได้ ควรทำก่อนที่จะมีเพศสัมพันธ์ 1/2-1 ชั่วโมง เพื่อปรับสภาพ PH ในช่องคลอดให้เป็นกรดตามที่เราต้องการ 



2.เลือกช่วงเวลาที่มีเพศสัมพันธ์ ช่วงใกล้เวลาตกไข่คุณผู้หญิงบางท่านอาจจะมีตกขาวลักษณะเป็นมูกใสๆ คล้ายไข่ขาวบริเวณปากมดลูก ซึ่งมูกใสๆนี้จะมีความเป็นด่างสูง



  • กรณีอยากได้ลูกชาย ควรปฏิบัติภารกิจช่วงตกไข่ หรือใกล้เคียงวันตกไข่ให้มากที่สุด    โอกาสที่อสุจิตัวผู้ (Y) จะอยู่รอดก็สูงขึ้น เนื่องจากมูกที่มีความเป็นด่างช่วยเจือจางและ     ทำให้สภาพช่องคลอดเป็นกรดน้อยลง

  • กรณีอยากได้ลูกสาว ควรปฏิบัติภารกิจก่อนวันตกไข่สักประมาณ 1-2 วัน เพราะค่า PH ในช่องคลอดจะได้มีความเป็นกรดตามปกติ


3.ท่าทางการมีเพศสัมพันธ์ เนื่องจากช่องคลอดนั้นมีความลึก ตัวอสุจิต้องว่ายทางไกลจากปากช่องคลอด ผ่านปากมดลูก โพรงมดลูก ปีกมดลูก จนไปผสมกับไข่ที่รออยู่บริเวณปลายท่อนำไข่ ระยะทางนั้นไกลพอสมควรสำหรับตัวอสุจิ ดังนั้นหากฝ่ายชายหลั่งตื้นๆบริเวณปากช่องคลอด ระยะการเดินทางของตัวอสุจิก็ยิ่งไกลมากขึ้น


  • กรณีอยากได้ลูกชาย ฝ่ายชายจึงต้องพยายามหลั่งน้ำเชื้อให้ลึกมากที่สุดเข้าไว้ ซึ่งท่าที่ทำให้คุณผู้ชายหลั่งได้ลึก เช่น ท่าที่ฝ่ายหญิงอยู่ด้านบน  ซึ่งจะช่วยย่นระยะการเดินทางของตัวอสุจิตัวผู้ (Y) ในช่องคลอดให้สั้นที่สุด เพื่อจะได้ไม่ถูกทำลายด้วยสภาพความเป็นกรดในช่องคลอด ทำให้โอกาสรอดของตัวอสุจิตัวผู้ (Y) เพิ่มมากขึ้น


4.ออกัสซั่มของผู้หญิง
เมื่อคุณผู้หญิงถึงจุดสุดยอดจะมีการหลั่งเมือก ซึ่งเมือกนี้เองจะมีสภาวะเป็นด่าง


  • กรณีอยากได้ลูกชาย คุณผู้หญิงควรถึงจุดสุดยอดร่วมด้วย จะได้มีการหลั่งเมือกเพื่อช่วยให้ช่องคลอดมีความเป็นกรดน้อยลง ตัวอสุจิตัวผู้ (Y) ก็จะมีโอกาสรอดมากขึ้น


5.ความถี่ของการมีเพศสัมพันธ์


  • กรณีอยากได้ลูกชาย การเว้นช่วงปฏิบัติภารกิจห่างๆ แล้วหลั่งทีเดียวตอนตกไข่ จะทำให้มีปริมาณน้ำเชื้อออกมามาก จึงช่วยเจือจางความเป็นกรดในช่องคลอดให้ลดลงจึงมีโอกาสที่ตัวอสุจิตัวผู้ (Y) จะอยู่รอดสูงขึ้น

  • กรณีอยากได้ลูกสาว การหลั่งบ่อยๆ เกือบทุกวัน พอถึงวันตกไข่จริงๆจึงหลั่งได้น้อย โอกาสที่ตัวอสุจิตัวผู้ (Y) จะอยู่รอดก็น้อยลง 
                  

อย่างไรก็ตาม
โอกาสที่เราจะได้ลูกชายหรือลูกสาวตามธรรมชาตินั้นตามปกติคือ 50-50 % แต่เมื่อใช้วิธีการข้างต้นเข้าช่วย ซึ่งเป็นวิธีการง่ายๆไม่ต้องพึ่งวิทยาการทางการแพทย์ ก็อาจช่วยเพิ่มโอกาสสำเร็จให้ได้บุตรเพศที่เราต้องการได้สูงขึ้นอีกราวๆ 15-20 %




ทำไมต้องเลือกเพศ จำเป็นด้วยหรือ


ไม่ใช่ว่าการเลือกเพศจะเหมาะสมกับทุกคน
ยกตัวอย่างเช่น ในกรณีที่อายุมาก หรือมีภาวะมีบุตรยาก โดยปกติคนกลุ่มนี้ก็มีลูกยากกันอยู่แล้ว หากพยายามเลือกเพศตั้งแต่แรกอาจทำโอกาสสำเร็จที่จะมีลูกน้อยลงหรือหากสำเร็จก็อาจต้องใช้เวลานานมากขึ้น หรือบางคู่ก็ไม่สำเร็จเลยเพราะฝ่ายหญิงอายุมากขึ้นจนทำให้มีลูกยากมาก แต่ก็มีบางกรณีที่แพทย์จำเป็นจะต้องแนะนำวิธีการเลือกเพศบุตร ได้แก่




  • กรณีโรคทางพันธุกรรมที่ถ่ายทอดจากโครโมโซมเพศ คือ โรคทางพันธุกรรมในครอบครัวที่มีโอกาสถ่ายทอดไปยังบุตรเพศใดเพศหนึ่งสูงกว่าอีกเพศหนึง เช่น โรคฮีโมฟีเลีย (Hemophilia) หรือโรคเลือดออกง่าย มักจะเกิดในผู้ชาย ดังนั้นหากมีประวัติครอบครัวเป็นโรคฮีโมฟีเลีย จึงจำเป็นต้องช่วยเลือกเพศ เพื่อหลีกเลี่ยงการได้บุตรชายที่จะเป็นโรค

  • กรณีต้องการมีทั้งบุตรเพศชายและเพศหญิงในครอบครัว (Family Balancing) คือ อยากเลือกเพศบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป เช่น มีลูกสาวแล้วแต่อยากได้ลูกชาย ในกรณีนี้แพทย์อาจจะแนะนำวิธีการเลือกเพศบุตร เนื่องจากกว่าจะได้ลูกเพศที่ต้องการ อาจต้องตั้งครรภ์หลายครั้ง ทำให้มีบุตรเกินจำนวนที่ต้องการ ประชากรในประเทศเพิ่มมากขึ้น หรือหากเคยผ่าตัดคลอดมาก่อนก็มีความเสี่ยงต่อสุขภาพมารดาในกรณีที่ต้องผ่าคลอดหลายครั้งกว่าจะได้บุตรเพศที่ต้องการ  หรือในกรณีที่ฝ่ายหญิงมีอายุมาก หากรอความสำเร็จไปเรื่อยๆ อายุที่เพิ่มมากขึ้นอาจทำให้เกิดปัญหามีบุตรยากจนส่งผลทำให้ไม่ประสบความสำเร็จเลยก็เป็นได้


วิทยาการทางการแพทย์มีวิธีการเลือกเพศหนูน้อยได้อย่างไร



ระยะก่อนที่จะตั้งครรภ์ แบ่งเป็น 2 วิธี เป็นวิธีพื้นฐาน คือ

1. การคัดแยกตัวอสุจิตัวผู้ (Y) และตัวอสุจิตัวเมีย (X) ในห้องปฎิบัติการ ก่อนฉีดน้ำเชื้อผสมเทียม


วิธีการนี้อาศัยเทคนิคการคัดแยกตัวอสุจิในห้องแล็ป หลังจากนั้นจึงนำน้ำเชื้อที่ผ่านการคัดแยกตัวอสุจิตรงตามเพศที่ต้องการแล้วฉีดกลับเข้าโพรงมดลูก เรียกว่า การฉีดน้ำเชื้อผสมเทียม หรือ IUI (intrauterine insemination) ซึ่งมีขั้นตอนการรักษา คร่าวๆมีดังนี้คือ ฝ่ายหญิงต้องกินยาหรือฉีดยากระตุ้นไข่ และตรวจติดตามการเจริญเติบโตของไข่ด้วยเครื่องอัลตร้าซาวน์ และเมื่อไข่โตเต็มที่ก็จะชักนำให้ไข่ตกดยในวันไข่ตก ฝ่ายชายจะต้องเก็บน้ำเชื้ออสุจิ เพื่อนำไปคัดแยกตัวอสุจิทางห้องปฏิบัติการ แล้วจึงฉีดน้ำเชื้อที่คัดแยกแล้วเข้ากลับสู่โพรงมดลูกต่อไป ซึ่งมีโอกาสที่จะได้บุตรตรงตามเพศที่ต้องการราวๆ 70-80% ขึ้นกับเทคนิคการคัดแยกตัวอสุจิ ซึ่งในปัจจุบันมี 2 วิธีหลักๆ คือ


1. Ericson's Technique คือ การปั่นแยกน้ำเชื้อ โดยอาศัยน้ำยาที่มีความเข้มข้นแตกต่างกัน เทคนิคนี้มีค่าใช้จ่ายไม่สูงมาก และเป็นที่นิยมใช้ในประเทศไทย โดยมีความแม่นยำในการเลือกเพศได้ตรงตามความต้องการประมาณ 70 %


2. MicroSort Technique เป็นอุปกรณ์ที่อาศัยกระแสไฟฟ้าในการคัดแยกตัวอสุจิ เทคนิคนี้มีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง ซับซ้อน และไม่ค่อยแพร่หลายในประเทศไทย โดยมีความแม่นยำในการเลือกเพศตรงตามความต้องการประมาณ 75-80 %


2. การตรวจโครโมโซมตัวอ่อนก่อนการฝังตัวในโพรงมดลูก (PGD: Preimplantation Genetic Diagnosis)    


การตรวจโครโมโซมของตัวอ่อน
นอกจากจะทำให้เราสามารถทราบว่าตัวอ่อนมีโครโมโซมที่สมบูรณ์หรือไม่แล้วเรายังสามารถรู้เพศของตัวอ่อนนั้นได้อีกด้วย ซึ่งวิธีการนี้จำเป็นต้องผ่านการทำเด็กหลอดแก้วมาก่อน ซึ่งมีขั้นตอนการรักษาคร่าวๆดังนี้คือ ฝ่ายหญิงต้องฉีดยากระตุ้นไข่ และตรวจเลือดและตรวจอัลตร้าซาวน์เพื่อติดตามการเจริญเติบโตของไข่ เมื่อไข่โตสมบูรณ์จึงทำการเจาะดูดไข่ออกมาเพื่อนำไปผสมกับตัวอสุจิภายนอกร่างกายมนุษย์ ให้ได้เป็นตัวอ่อน หลังจากนั้นจึงเลี้ยงตัวอ่อนจนถึงระยะ 3 วัน ซึ่งระยะนี้ตัวอ่อนจะแบ่งเซลล์ได้ประมาณ 8-10 เซลล์ เราจะทำการตัดเซลล์ออกมาตรวจ 1 เซลล์ เพื่อตรวจดูว่าตัวอ่อนตัวนั้นมีโครโมโซมสมบูรณ์หรือไม่ และเป็นเพศชายหรือหญิง ต่อจากนั้นจึงเลือกตัวอ่อนที่สมบูรณ์และมีเพศตรงตามที่ต้องการย้ายกลับเข้าไปในโพรงมดลูก ซึ่งมีโอกาสสำเร็จเกือบ 100%


ระยะหลังตั้งครรภ์ แพทย์ไม่แนะนำให้เลือกเพศบุตรภายหลังจากที่ได้เกิดตั้งครรภ์ไปแล้ว เพราะจำเป็นต้องยุติการตั้งครรภ์ในกรณีที่ไม่ได้บุตรเพศที่ต้องการซึ่งผิดกฎหมายและผิดจริยธรรมทางการแพทย์



ข้อจำกัดที่คุณพ่อคุณแม่ควรรู้



  • ความยุ่งยาก ไม่ว่าจะเป็นการทำ IUIหรือการทำเด็กหลอดแก้วก็ตาม มีรายละเอียดและขั้นตอนค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นคุณพ่อคุณแม่จะต้องศึกษาหาข้อมูล ตลอดจนปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์

  • ค่าใช้จ่าย การทำ PGD ต้องผ่านขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งจะต้องเสียเวลาและเสียค่าใช้จ่ายสูงมากในกระตุ้นรังไข่

  • ภาวะแทรกซ้อน เนื่องจากการทำเด็กหลอดแก้วแพทย์จำเป็นต้องกระตุ้นไข่ ฝ่ายหญิงต้องเจ็บตัวฉีดยา หากรังไข่ถูกกระตุ้นมากไปก็อาจทำให้ท้องอืด รังไข่บวม รังไข่แตก มีปัญหาของระบบการหายใจ ไตวาย เป็นต้น แต่การฉีดน้ำเชื้อหรือผสมเทียมไม่ค่อยเกิดปัญหา เพราะรังไข่จะถูกกระตุ้นไม่รุนแรงเท่า แต่อาจจะเกิดการตั้งครรภ์แฝดได้หากมีไข่หลายใบที่ได้รับการผสม


หากอายุมากแล้วแต่ยังต้องการที่จะเลือกเพศด้วยก็สามารถทำได้
แต่ต้องยอมรับว่าโอกาสสำเร็จจะน้อยลง เพราะโดยทั่วไปเมื่ออายุมากขึ้นก็ทำให้มีลูกยากขึ้นตามไปด้วย  และเมื่อจำเป็นต้องกระตุ้นรังไข่ก็จะได้ไข่ปริมาณน้อย หรือเป็นไข่ที่ไม่สมบูรณ์





นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

No comments:

Post a Comment