Tuesday, July 8, 2014

หมอๆ หนูโดนของ !!!




วันก่อนผมเพิ่งจะผ่าตัดเลาะซีสต์ที่รังไข่โดยวิธีส่องกล้องให้กับคนไข้หญิงวัยกลางคนท่านหนึ่งไป ภายหลังผ่าตัดผมก็โชว์รูปถ่ายถุงน้ำรังไข่ที่ผ่าตัดเลาะออกมาให้คนไข้และญาติๆดู อธิบายถึงสิ่งที่พบในห้องผ่าตัดไปว่าซีสต์ของคนไข้นั้นขนาดราวๆ 8 เซนติเมตร มีของเหลวลักษณะคล้ายน้ำมัน มีก้อนไขมัน มีเศษผม หนังศีรษะ และฟัน อยู่ภายใน คนไข้และญาติมองหน้ากัน แสดงสีหน้าประหลาดใจ แล้วก็บรรลัยครับทีนี้ เถียงกันต่างๆนา เสียงดังเจี๊ยวจ๊าวลั่นห้อง แล้วคนไข้ก็ถามออกมาว่า “ หมอๆ อย่างนี้แสดงว่าหนูโดนคุณไสย์ใช่มั้ย ??? ”

Thursday, July 3, 2014

Q&A : หลังผ่าตัดคลอด ไม่ควรรับประทานไข่ขาวเพราะจะทำให้แผลเป็นนูน จริงหรือไม่คะ ?



คุณแม่หลายท่านที่จำเป็นต้องผ่าตัดคลอดเพราะไม่สามารถคลอดบุตรด้วยวิธีการธรรมชาติได้ คงมีความกังวลใจกลัวว่าแผลผ่าตัดจะไม่สวย เป็นแผลเป็นนูน และมีความเชื่อว่าไม่ควรรับประทานไข่ขาวเพราะจะทำให้แผลเป็นนูน ดูไม่สวย จริงๆแล้วตรงกันข้ามเลยครับ ควรรับประทานเสียด้วยซ้ำเพราะไข่ขาวเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่หาง่ายและราคาไม่แพง สารอาหารประเภทโปรตีนมีความสำคัญในด้ายการช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ ซึ่งก็รวมถึงแผลผ่าตัดด้วย ทำให้แผลหายไว และคุณแม่ฟื้นตัวได้เร็วอีกทั้งยังมีประโยชน์ด้านการนำไปใช้สร้างน้ำนมให้ลูกน้อยอีกด้วย ดังนั้นการห้ามรับประทานไข่ขาวถือว่าเป็นความเชื่อที่ไม่ถูกต้องนะครับ เพราะปัจจัยที่ทำให้เกิดแผลเป็นนั้นมีมากมาย ยกตัวอย่างเช่น



  • ลักษณะของผิวหนัง ซึ่งมาจากพื้นฐานของผิวหนังของแต่ละคน ตามกรรมพันธุ์
  • จำนวนครั้งของการผ่าตัด กรณีที่ผ่านการผ่าตัดซ้ำหลายครั้ง จะมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นนูน สีคล้ำเข้ม ดูไม่สวยงามเกิดขึ้นได้บ่อยกว่า
  • แรงตึงบริเวณขอบแผลมากๆ แผลผ่าตัดที่มีทำให้การซ่อมแซมบาดแผลเกิดได้ไม่ดีนัก เช่น
    • แผลผ่าตัดใหญ่ๆ ที่ขอบแผล 2ข้าง มีระยะห่างกันมากๆ จะมีโอกาสเกิดรอยแผลเป็นได้บ่อยกว่าแผลผ่าตัดขนาดเล็ก
    • เทคนิคการเย็บของแพทย์ก็มีส่วนช่วยลดแรงตึงบริเวณขอบแผล ทำให้ลดโอกาสเกิดแผลเป็นได้ครับ
  • แผลผ่าตัดแยก มีผลให้เกิดการซ่อมแซมที่ไม่สมบูรณ์ เช่น ออกแรงขยับเขยื้อนบริเวณที่ผ่าตัดมากเกินไปในขณะที่แผลยังไม่หายดี
  • การติดเชื้อที่แผลผ่าตัด มีผลกระตุ้นการเกิดรอยแผลเป็นตามมาได้
  • ไหมที่ใช้เย็บแผล หากเป็นไหมละลายที่ร่างกายมีปฏิกิริยาต่อต้าน สามารถทำให้เกิดกระบวนการอักเสบ ส่งผลให้เกิดรอยแผลเป็นได้มากขึ้นครับ
  • การดูแลผิวพรรณ การหมั่นดูแลแผลผ่าคลอดอย่างสม่ำเสมอ ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อน ๆ หรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาก็ช่วยทำให้แผลเป็นนุ่มและสีจางลงได้ครับ แต่อาจต้องใช้ระยะเวลานานพอสมควร

วิธีการดูแลแผลผ่าตัดคลอดเบื้องต้น



  • ควรลุกนั่ง ขยับตัว เดินรอบๆเตียง ให้เร็วที่สุดภายหลังจากผ่าตัดคลอด แต่ไม่ต้องหักโหม เพราะอาจทำให้แผลผ่าตัดแยกได้ หากวิงเวียนศรีษะ หรือปวดแผลมากก็ให้พักหรือรอให้รู้สึกดีก่อนค่อยเริ่มใหม่ ถ้าทำได้ตั้งแต่วันแรกๆภายหลังผ่าตัดจะดีมากครับ ช่วยให้ลำไส้กลับมาทำงานได้ตามปกติเร็วขึ้น ไม่อืดแน่นท้อง ไม่คลื่นไส้อาเจียน รับประทานและกลับบ้านได้เร็วขึ้น
  • หากไม่ยอมเคลื่อนไหวเลย มีโอกาสที่จะเกิดพังผืดขึ้นกับอวัยวะต่างๆภายในช่องท้อง  เสี่ยงต่อภาวะมีบุตรยากจากการที่ท่อนำไข่อุดตัน เสี่ยงต่อการผ่าตัดคลอดบุตรคนต่อไปทำได้ยาก หรือมีโอกาสที่จะท้องผูกเรื้อรังในอนาคต
  • ผ้ายืดรัดหน้าท้อง สามารถช่วยประคองหน้าท้องส่วนเกินหลังผ่าตัดคลอดไม่ให้ย้อยมากดทับแผลผ่าตัด อีกทั้งยังช่วยพยุงผนังหน้าท้องและกล้ามเนื้อส่วนหลังเวลาเดิน จึงช่วยลดความเจ็บปวดลงไปได้มากเลยทีเดียวครับ
  • แผลผ่าตัดคลอดที่ปิดด้วยพลาสเตอร์กันน้ำ ไม่จำเป็นต้องเปิดล้างแผลทุกวัน สามารถอาบน้ำได้ตามปกติ แต่หลีกเลี่ยงการฟอกสบู่หรือแกะ เกาบริเวณแผล เพราะอาจทำให้พลาสเตอร์ลอกหลุด ทำให้น้ำเข้าได้ และควรซับให้แห้งทันทีหลังอาบน้ำ ทิ้งไว้ราวๆ 7 วันจึงไปพบแพทย์เพื่อเปิดแผล และ/หรือตัดไหมครับ
  • หากแผลผ่าตัดบวม แดง กดเจ็บ มีเลือดซึม หรือมีไข้ ให้รีบพบแพทย์เนื่องจากอาจเกิดการติดเชื้อ หรือแพ้พลาสเตอร์ปิดแผลได้ครับ
  • พยายามดื่มน้ำเยอะๆ งดกลั้นปัสสาวะ รับประทานอาหารที่สุก สะอาด โดยเฉพาะอาหารจำพวกโปรตีน โดยที่หาได้ง่ายๆคือ ไข่ขาวต้ม เพราะมีส่วนช่วยซ่อมแซมให้บาดแผลหายได้เร็วขึ้นครับ
  • ในช่วง 2-4 สัปดาห์แรก ไม่ควรยกของหนัก ขยับตัวได้เท่าที่ไม่รู้สึกเจ็บ หากเจ็บหรือรู้สึกตึง ๆ แสดงว่า ยืดเหยียดแผลมากเกินไป แผลจะหายสนิทดี และสามารถออกกำลังกายได้ ราวๆ 3-6 เดือน ในบางรายอาจรู้สึกเสียวๆหรือมีอาการชาบริเวณแผลผ่าตัด ซึ่งอาการจะค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆ
  • เมื่อแผลแห้งสนิท หากมีรอยแผลเป็น สามารถใช้ครีมซึ่งมีส่วนผสมของเสตียรอยด์อ่อน ๆ หรือครีมที่มีส่วนผสมของวิตามินอีทาก็ช่วยทำให้แผลเป็นนุ่มและสีจางลงได้ครับ


นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Wednesday, June 25, 2014

Q&A : เลือดล้างหน้าเด็ก VS เลือดประจำเดือน




มีคำถามจากทางบ้าน ซึ่งเป็นคนไข้ที่ทำเด็กหลอดไปแล้วและเพิ่งผ่านการย้ายตัวอ่อนมาได้ 3-4 วัน ถามผมเข้ามาว่า “มีเลือดสีแดงจางๆออกจากช่องคลอดใช่เลือดล้างหน้าเด็กมั้ยคะ หรือจะเป็นเลือดประจำเดือนมาก่อนกำหนด แล้วอย่างนี้จะมีโอกาสท้องมั้ย” ขอออกตัวก่อนนะครับว่าตั้งแต่เรียนมาก็เพิ่งเคยได้ยินคำว่าเลือดล้างหน้าเด็ก ก็คราวนี้นี่แหละครับ เลยลองๆหาข้อมูลดูว่า เลือดล้างหน้าเด็กหมายถึงอะไร สุดท้ายก็ได้คำตอบครับว่าศัพท์ทางการแพทย์ที่ผมอยู่ใช้ประจำ ก็มีภาษาที่ชาวบ้านทั่วไปเรียกกันด้วยเหมือนกัน ซึ่งเลือดล้างหน้าเด็ก และ เลือดประจำเดือนมีความแตกต่างกันคือ

Wednesday, June 18, 2014

“มีลูกได้ Vs ตั้งครรภ์ได้” ฟังดูคล้าย แต่ไม่เหมือนกัน




ผู้หญิงปกติ จะมีมดลูก 1 ใบ , รังไข่ 2 ข้าง , ท่อนำไข่ 2 ข้าง

ปากมดลูก เป็นส่วนหนึ่งของมดลูกที่อยู่ภายในช่องคลอด

โพรงมดลูก เป็นช่องว่างที่อยู่ใจกลางมดลูก มีทางเชื่อมต่อกับปากมดลูก และท่อนำไข่ทั้ง 2 ข้าง เป็นตำแหน่งที่ตัวอ่อนฝังตัวและเกิดการตั้งครรภ์ตามปกติในโพรงมดลูก

รังไข่และท่อนำไข่ บางครั้งถูกเรียกรวมว่า ปีกมดลูก



ความสำคัญของมดลูก และรังไข่ คุณรู้ดีพอหรือยัง???



ความสำคัญของมดลูก คือ


1. ทำให้ตั้งครรภ์ได้



  • แม้ว่าจะได้ผ่าตัดรังไข่ออกไปทั้ง 2ข้างแล้ว แต่ในกรณีที่ยังมีมดลูกอยู่ แม้ว่าจะไม่สามารถมีลูกได้เองตามธรรมชาติ     คุณผู้หญิงก็ยังสามารถตั้งครรภ์ได้ แต่จำเป็นต้องอาศัยไข่บริจาคจากหญิงอื่น และต้องอาศัยกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วร่วมด้วย
  • ดังนั้น ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องผ่าตัดรังไข่ออกทั้ง 2 ข้าง หรือไม่ต้องการมีลูกแล้ว แม้ว่ามดลูกจะปกติแต่แพทย์อาจแนะนำให้ตัดมดลูกออกไปด้วยเลย  เพราะไม่มีความจำเป็นต้องเก็บมดลูกไว้เพื่อตั้งครรภ์แล้วครับ


2. เป็นตัวแสดงออกให้รู้ว่าคุณผู้หญิงยังไม่เข้าสู่วัยทอง หรือวัยหมดประจำเดือน เพราะยังมีเลือดประจำเดือนออกมาให้เห็นอย่างสม่ำเสมอจากอิทธิพลของฮอร์โมนที่สร้างจากรังไข่



ความสำคัญของรังไข่ คือ

1. ทำให้มีลูกได้ เพราะมีหน้าที่สร้างเซลล์สืบพันธุ์ หรือ ฟองไข่

  • ในกรณีที่ยังมีรังไข่เหลืออยู่อย่างน้อย 1 ข้าง แม้ว่าจะได้ผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว คุณผู้หญิงก็ยังสามารถที่จะมีลูกได้ เพียงแต่ว่าจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้เอง เพราะไม่มีมดลูกให้ตัวอ่อนฝังตัว จึงจำเป็นต้องอาศัยหญิงอื่นตั้งครรภ์แทน(อุ้มบุญ) และต้องอาศัยกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วร่วมด้วย
  • หากปริมาณเนื้อรังไข่ภายหลังการผ่าตัดเหลือน้อยลง หรือบางรายเหลือรังไข่เพียงข้างเดียว คุณผู้หญิงก็มีโอกาสที่จะมีลูกยากมากขึ้น เพราะว่าเหลือเนื้อรังไข่ที่จะผลิตฟองไข่ได้น้อยลงนั่นเอง
  • ดังนั้นหากสามารถผ่าตัดเก็บเนื้อเยื่อรังไข่ไว้ได้มากที่สุด เช่น การผ่าตัดเลาะเฉพาะซีสต์ที่รังไข่ออก ย่อมเป็นผลดีกว่าการตัดออกไปหมดทั้งรังไข่แน่นอนครับ


2. ทำให้ไม่เป็นวัยทอง เพราะมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิง


  • ในกรณีที่ยังมดลูก และยังเหลือรังไข่อยู่ภายหลังจากการผ่าตัด แม้ปริมาณรังไข่จะเหลือเพียง 10 เปอร์เซ็นต์   รังไข่ก็ยังสามารถสร้างฮอร์โมนได้เพียงพอที่จะไม่ทำให้เป็นวัยทอง และทำให้มีประจำเดือนตามปกติจนกว่ารังไข่จะหยุดทำงาน ซึ่งก็ขึ้นกับปริมาณเนื้อเยื่อรังไข่ที่เหลือ ถ้าเหลือน้อยก็มีโอกาสเข้าสู่วัยทองได้เร็วกว่าผู้หญิงที่มีรังไข่ปกติสมบูรณ์ทั้ง 2 ข้างอีกด้วย
  • ผู้หญิงไทยที่มีรังไข่ปกติทั้ง 2ข้าง ส่วนใหญ่จะเข้าสู่วัยทอง เมื่อรังไข่หยุดการทำงาน ซึ่งมีอายุราวๆ 49-51 ปี
  • ในกรณีผ่าตัดมดลูกออกไปแล้ว แต่ยังเหลือรังไข่อยู่ ร่างกายก็ไม่ได้ขาดฮอร์โมนแต่อย่างใด แม้ว่าจะไม่มีประจำเดือนแสดงออกมาให้เห็นก็ตาม


ถึงตอนนี้ถ้าคุณผู้หญิงที่มีความจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดมดลูกหรือรังไข่ การมีความเข้าใจถึงหน้าที่ของอวัยวะทั้ง 2 ส่วนนี้เป็นอย่างดี ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยในการพิจารณาทางเลือกการผ่าตัดรักษา รวมถึงทราบผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นตามมาได้อีกด้วยครับ




นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Sunday, June 15, 2014

ยังอยากมีลูก “เลี่ยงผ่าตัดรังไข่-มดลูกโดยไม่จำเป็น”



เนื่องด้วยเป็นหมอรักษาผู้มีบุตรยาก บ่อยครั้งที่ต้องรักษาคนไข้ที่มีลูกยากที่มีสาเหตุมาจากการผ่าตัดรังไข่-มดลูกโดยไม่จำเป็น เช่น มีถุงน้ำ(ซีสต์) ที่รังไข่ ซึ่งอาจจะเป็นถุงน้ำรังไข่ชนิดที่สามารถยุบหายไปได้เองก็ได้ หากตรวจติดตามต่อไปอีก 1-2 เดือน ซึ่งไม่จำเป็นต้องผ่าตัดใดๆเลย หรือถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดจริงๆ แทนที่จะผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำที่รังไข่ออก แต่กลับถูกตัดรังไข่ทิ้งไปเลย จนต้องกลายเป็นคนมีลูกยาก เพราะเหลือรังไข่ที่จะผลิตไข่แค่ข้างเดียว น่าเศร้าแทนคนไข้มั้ยล่ะครับ


เพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของทั้งแพทย์และคนไข้ถึงผลกระทบที่จะตามมาภายหลังจากการผ่าตัดที่ไม่เหมาะสม หรือไม่จำเป็น ทำให้บ่อยครั้งที่ผมมักจะเกิดอาการหวงแหนไข่และมดลูกของคนไข้เอามากๆ ถึงขั้นว่าไม่อยากจะแตะต้อง หรือผ่าตัดใดๆที่ทำให้ทั้งรังไข่และมดลูกได้รับบาดเจ็บ-เสียหายเลยถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็เพราะว่าทั้ง 2 ส่วนนี้มีบทบาทสำคัญต่อการมีลูกอย่างมาก เพราะ...

ถ้าเนื้อรังไข่เหลือน้อยลงโอกาสที่จะมีลูกก็น้อยลงตามไปด้วย เพราะรังไข่เป็นอวัยวะที่มีหน้าทีผลิตเซลล์สืบพันธุ์เพศหญิงที่เรียกว่า“ฟองไข่” นอกจากนั้นแล้วรังไข่ยังมีหน้าที่สร้างฮอร์โมนเพศหญิงทำให้ยังคงความเป็นสาวอีกด้วย ดังนั้นหากเนื้อรังไข่ที่ดีเหลือไม่มาก คนไข้ก็มีโอกาสที่จะเป็นวัยทองเร็วกว่าผู้หญิงทั่วไปที่มีรังไข่ปกติ 2 ข้าง


ส่วนมดลูกถ้าผ่าตัดโดยไม่จำเป็นก็ถือเป็นการสร้างบาดแผลให้กับมดลูก เมื่อตั้งครรภ์ขึ้นมา มดลูกจะขยายขนาดโตขึ้นเรื่อยๆตามขนาดของทารกในครรภ์ ทำให้แผลเป็นจากการผ่าตัดมดลูกที่เย็บไว้มีโอกาสปริ-แยกได้ และอาจร้ายแรงถึงขั้นมดลูกแตก ส่งผลให้เกิดอาการตกเลือดในช่องท้อง หรือถึงขั้นเสียชีวิตทั้งแม่และลูกได้เลยทีเดียว ยิ่งถ้าเย็บแผลที่มดลูกได้ไม่แน่นหรือไม่แข็งแรงพอด้วยแล้ว โอกาสที่มดลูกจะแตกระหว่างตั้งครรภ์ก็ยิ่งสูงขึ้นอย่างมาก ดังนั้นหากแม้ว่าจะตรวจพบเนื้องอกมดลูก แต่ถ้าเนื้องอกมดลูกนั้นไม่ได้เป็นสาเหตุที่ทำให้มีลูกยาก ก็ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป เพราะถ้าเนื้องอกมดลูกนั้นขนาดไม่ใหญ่มาก ไม่กดเบียดโพรงมดลูก หรือไม่มีอาการ ก็สามารถสังเกตอาการ และตรวจติดตามเป็นระยะไปก่อนได้ ผมแนะนำว่าควรรอให้มีลูกเรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยมาผ่าตัดรักษาในภายหลังได้ครับ


ดังนั้นหมอรักษามีบุตรยากอย่างผม ถ้าไม่จำเป็นจริงๆหรือถ้าเลี่ยงการผ่าตัดรังไข่และมดลูกได้ก็จะพยายามหลีกเลี่ยงไว้ก่อนครับ ในกรณีที่คนไข้ยังต้องการที่จะมีลูกอยู่


แต่ถ้าจำเป็นต้องผ่าตัดรังไข่ขึ้นมาจริงๆแล้วล่ะก้อ ก็จะแนะนำการผ่าตัดแบบส่องกล้องมาเป็นอันดับแรกครับ เพราะโอกาสเกิดพังผืดภายหลังการผ่าตัดนั้นพบได้น้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง อีกทั้งการผ่าตัดแบบส่องกล้องสามารถผ่าตัดได้ละเอียดมากกว่า เพราะกล้องสามารถขยายภาพให้เห็นชัดเจน จึงมีประโยชน์อย่างมากในการผ่าตัดเลาะเฉพาะถุงน้ำรังไข่ออก เพราะสามารถเก็บรักษาเนื้อรังไข่ส่วนที่ดีไว้ให้คนไข้ได้มากขึ้น ไม่สูญเสียเนื้อรังไข่ที่ดีติดไปกับถุงน้ำที่ได้เลาะออกไปนั่นเองครับ


ผมขอฝากถึงทุกท่านที่กำลังมีปัญหาถุงน้ำรังไข่ เนื้องอกมดลูก ว่าถ้ายังต้องการมีบุตรอยู่ ขอให้พิจารณให้รอบคอบก่อนตัดสินใจผ่าตัด เพราะผลที่จะตามมานั้นมันแก้ไขลำบากมาก หากมีข้อสงสัย ผมแนะนำว่าควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางนี้โดยตรงจะเป็นการปลอดภัยกับรังไข่และมดลูกของตัวคุณเองมากที่สุด เพราะนอกจากจะวางแผนการรักษาเรื่องเนื้องอกมดลูก และถุงน้ำรังไข่ให้แล้ว ยังวางแผนรักษาเรื่องการมีบุตรในอนาคตให้ร่วมด้วยครับ ไม่ต้องกังวลใจอะไรมากนักเพราะอยู่ในการดูแลของหมอที่เข้าใจถึงความสำคัญ และหวงแหนอวัยวะ 2 ส่วนนี้มากกว่าใครก็ว่าได้ครับ



นพ.ปัญญา ศักดิ์สง่าวงษ์
สูตินรีแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการรักษาผู้มีบุตรยากและผ่าตัดผ่านกล้องทางนรีเวช

Thursday, June 12, 2014

"สายวัดจู๋" ตัวช่วยช่วยเลือกขนาดของถุงยางอนามัย



ปัญหาอย่างหนึ่งที่ทำให้ผู้ชายไทยไม่นิยมสวมถุงยางอนามัยนั่นก็คือ ความรู้สึกไม่เป็นธรรมชาติ บ้างก็รู้สึกว่าคับไป แน่นไป เกรงว่าน้องชายจะขาดอากาศหายใจ ซ้ำร้ายถุงยางอนามัยอาจแตกขึ้นมาได้ระหว่างปฏิบัติภารกิจ หรือบางทีก็รู้สึกว่าหลวมไป ปฏิบัติภารกิจยังไม่ทันจะฟินเลย ก็ไม่รู้ว่าถุงยางหลุดไปอยู่ที่ไหนแล้ว ยุ่งล่ะสิครับทีนี้



เคยมีกรณีตัวอย่างมาปรึกษาครับว่า ภายหลังจากที่มีอะไรกันแล้วปรากฏว่าหาถุงยางอนามัยไม่เจอ ไม่รู้ว่าหายไปอยู่ไหน วุ่นวายกันยกใหญ่ กลัวว่าจะหลุดเข้าไปอยู่ในท้อง เลยต้องพึงมือหมอสูติช่วยตรวจภายใน และแล้วก็พบว่าเจอถุงยางอนามัยค้างในช่องคลอด ปัญหาเช่นเกิดจากการเลือกขนาดถุงยางอนามัยที่ไม่เหมาะกับขนาดน้องชายของคุณผู้ชายเอง หรือบางทีตัวคุณผู้ชายบางคนอาจยังไม่เคยทราบมาก่อนเลยก็ได้ว่า ถุงยางอนามัยเค้ามีขนาดให้เลือกใช้เหมือนกันนะครับ ไม่ได้มีขนาดเดียวอย่างที่เคยเข้าใจกัน ไม่ใช่ว่าไปถึงร้านแล้วก็รีบๆคว้ามาเพราะเขินอาย กลัวคนอื่นจะเห็น เลยไม่ทันได้สังเกตรายละเอียดอื่นๆเลย อย่างนี้ไม่ควรนะครับ


นอกจากสี กลิ่น และผิวสัมผัสของถุงยางจะเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจให้คุณผู้ชายเลือกซื้อหาถุงยางมาใช้แล้ว ขนาดของถุงยางก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ควรใส่ใจด้วยเช่นกันนะครับ เพราะหากเลือกขนาดได้เหมาะสมกับน้องชายเราแล้วก็จะทำให้ถุงยางอนามัยนั้นเป็นส่วนหนึ่งของความสุขทางเพศ อีกทั้งป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ได้อีกด้วยครับ


ขณะนี้ได้มีการคิดค้นจัดทำ "สายวัดจู๋" เพื่อวัดขนาดอวัยวะเพศของชายไทย เพื่อช่วยในการเลือกขนาดของถุงยางอนามัยโดยขนาดอวัยวะเพศของชายไทย ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 49 มิลลิเมตร และ 52 มิลลิเมตร โดยขนาด 54 มิลลิเมตร จะเป็นขนาดสำหรับชาวต่างชาติสำหรับตลาดในเมืองไทยเท่าที่มีจำหน่าย ก็มีอยู่ 2 ขนาด คือ ขนาด 49 มิลลิเมตร  และ ขนาด 52 มิลลิเมตร ซึ่งขนาด 49 มิลลิเมตร จะเหมาะกับคนไทยมากที่สุด เพราะน้องชายของคุณผู้ชายแต่ละคนนั้นมีขนาดแตกต่างกัน ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะต้องเลือกให้เหมาะ ก็เหมือนกับการเลือกเสื้อผ้ารองเท้า เลือกไม่ดีก็ใส่ไม่สบายจริงมั้ยละครับ


ดาวน์โหลดสายวัดจู๋ ไฟล์ PDF พิมพ์ไว้ใช้วัดได้เลย (copy ลิงค์ ไปเปิดในหน้า window ใหม่)

ขณะทำการสั่งพิมพ์ให้เลือกตัวเลือก Page Scaling เป็น none ในขณะสั่ง พิมพ์ ไม่ อย่างนั้นสเกลสายวัดจะเพี้ยน

http://www.aidsthai.org/uploads/files/246_PenisMeasureHiRes.pdf